EN, ANSI, มอก. สรุปมาตรฐาน อุปกรณ์เซฟตี้ ที่ควรรู้
อุปกรณ์เซฟตี้ ไม่ได้มีไว้แค่ให้ ดูเหมือนปลอดภัยแค่นั้นนะครับ แต่เป็นสิ่งที่ปกป้องชีวิตของผู้ใช้งานจริงๆ เพราะฉะนั้นมาตรฐานที่รองรับ อุปกรณ์เซฟตี้ เหล่านี้มีความสำคัญมาก โดยเฉพาะเมื่อคุณทำงานในอุตสาหกรรม ก่อสร้าง หรือพวกโรงงาน เพราะการเลือกใช้ อุปกรณ์เซฟตี้ ที่ไม่ได้มาตรฐาน อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงได้ ในบทความนี้ผมจะพาคุณไปรู้จักกับมาตรฐาน อุปกรณ์เซฟตี้ ที่สำคัญ ได้แก่ EN (ยุโรป), ANSI (อเมริกา) และ มอก. (ประเทศไทย) ของเรา พร้อมทั้งวิธีดูฉลาก การตีความรหัส และข้อควรรู้ที่ช่วยให้คุณเลือก อุปกรณ์เซฟตี้ ได้อย่างมั่นใจและปลอดภัย เพื่อไม่ให้เสียเวลา ไปอ่านบทความนี้ได้เลยครับ
อุปกรณ์เซฟตี้ มาตรฐาน EN (European Norm)
EN ย่อมาจาก “European Norm” หรือถ้าพูดง่ายๆ ก็คือเป็นมาตรฐานกลางของฝั่งยุโรปนั่นเองครับ มาตรฐานนี้ไม่ได้ใช้แค่กับ อุปกรณ์เซฟตี้ เท่านั้นนะ แต่ครอบคลุมพวกผลิตภัณฑ์หลากหลายประเภท โดยเฉพาะอุปกรณ์ที่เกี่ยวกับความปลอดภัยในการทำงาน ซึ่งจะมีการกำหนดว่าผลิตภัณฑ์ต้องมีคุณสมบัติอะไรบ้าง? ไม่ว่าจะเป็น กันบาด กันกระแทก กันไฟ หรือทนต่อพวกสารเคมีต่างๆ ถึงจะผ่านเกณฑ์ความปลอดภัย และใช้ในงานอุตสาหกรรมหรือก่อสร้างได้อย่างมั่นใจนั่นเอง
ประเภทของมาตรฐาน EN ที่ใช้กับ อุปกรณ์เซฟตี้
- EN 388 : ถุงมือกันบาด (ระบุค่าความทนต่อการขัด, ตัด, ฉีก, เจาะ) พูดง่าย ๆ ก็คือถุงมือที่ผ่านมาตรฐานนี้จะมีการทดสอบว่าแข็งแรงแค่ไหนเวลาโดนของมีคม ขูด ข่วน หรือแทงทะลุ เหมาะกับงานช่าง งานโรงงานที่ต้องเจอกับวัสดุเสี่ยงต่อการบาดมือเป็นประจำ ยิ่งเลขในรหัสสูง ก็แปลว่าถุงมือนั้นยิ่งแกร่งนั่นเองครับ
- EN 374 : ถุงมือป้องกันสารเคมีและจุลินทรีย์ ถุงมือที่มีมาตรฐานนี้จะถูกออกแบบมาเพื่อป้องกันมือของเราจากสารเคมีอันตราย รวมถึงพวกไวรัสหรือแบคทีเรียที่เราอาจสัมผัสในที่ทำงาน เช่น ห้องแล็บ โรงงาน หรือแม้แต่ร้านทำความสะอาด พูดง่าย ๆ ก็คือ ใครที่ต้องสัมผัสของเหลวที่ไม่รู้ว่าอันตรายหรือเปล่า ถ้ามี EN 374 ก็ตัดความกังวลไปได้เยอะเลยครับ
- EN 166 : แว่นตานิรภัย อันนี้เหมาะมากสำหรับคนที่ต้องทำงานในพื้นที่ที่มีฝุ่น เศษวัสดุ หรือแม้แต่ของเหลวที่อาจกระเด็นใส่ตาได้ พูดง่าย ๆ ก็คือถ้าไม่อยากให้ดวงตาเสี่ยง แว่นที่มี EN 166 ก็ช่วยป้องกันได้ดี เพราะผ่านการทดสอบมาแล้วว่าสามารถรับแรงกระแทกหรือกันสารเคมีได้ในระดับหนึ่งเลยครับ
- EN 397 : หมวกนิรภัยสำหรับใช้งานทั่วไป ถ้าเคยเห็นหมวกนิรภัยสีสันสดใสที่ช่างใส่กันตามไซต์ก่อสร้าง นั่นแหละครับ มักจะต้องผ่านมาตรฐาน EN 397 ซึ่งเป็นตัวการันตีว่าหมวกสามารถทนแรงกระแทกจากวัตถุตกจากที่สูงได้ ไม่ใช่หมวกพลาสติกธรรมดา ๆ นะครับ แต่เป็นหมวกที่ออกแบบมาเพื่อปกป้องหัวเราแบบจริงจัง ใครที่ต้องขึ้นที่สูง ทำงานกลางแดด หรือต้องเผชิญความเสี่ยงจากของแข็งตกใส่ หมวกที่มีมาตรฐานนี้คือสิ่งที่คุณควรมีไว้เลยครับ
- EN 20345: รองเท้าเซฟตี้ (Safety Footwear) ถ้าใครเคยเดินในโรงงานหรือไซต์งานก่อสร้าง แล้วเห็นรองเท้าหน้าตาดูแข็งแรงกว่าปกติ แถมมีเหล็กเสริมตรงหัวรองเท้า นั่นแหละครับมักจะต้องผ่านมาตรฐาน EN 20345 ตัวนี้เลย ซึ่งจะการันตีว่ารองเท้าคู่นั้นสามารถป้องกันเท้าคุณจากของมีคม วัตถุหนักตกใส่ หรือแม้แต่น้ำมันและสารเคมีบางชนิดได้ด้วย พูดง่าย ๆ คือรองเท้าคู่เดียวที่ช่วยให้คุณเดินทำงานได้อย่างมั่นใจ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องอุบัติเหตุเล็ก ๆ ที่อาจกลายเป็นเรื่องใหญ่ครับ
- EN 149: หน้ากากกันฝุ่นแบบใช้แล้วทิ้ง ถ้าคุณทำงานในที่ที่มีฝุ่นเยอะ ๆ หรือบริเวณที่มีละอองในอากาศ เช่น โรงงานไม้ งานก่อสร้าง หรือแม้แต่งานขัดพื้น หน้ากากที่มีมาตรฐาน EN 149 ถือว่าเป็นเพื่อนคู่ใจเลยครับ เพราะมันการันตีได้ว่าหน้ากากสามารถกรองอนุภาคฝุ่นได้ดีตามระดับที่ระบุไว้ เช่น FFP1, FFP2 หรือ FFP3 ยิ่งเลขสูงก็ยิ่งกรองละเอียดขึ้น ใส่แล้วหายใจสะดวก แถมสบายใจเรื่องความปลอดภัยของปอดด้วยครับ
ตัวอย่างการตีความมาตรฐาน EN
ถุงมือที่มีมาตรฐาน EN 388: 4543
- 4 ความทนต่อการขัดถู (ระดับ 1–4) – แปลว่าเวลาถุงมือโดนพื้นผิวหยาบ ๆ หรือของแข็งครูดใส่ จะทนได้นานแค่ไหน ระดับ 4 คือทนที่สุด
- 5: ความทนต่อการตัดด้วยใบมีด (ระดับ 1–5) – อันนี้สำคัญมากสำหรับคนที่ทำงานกับของมีคม เพราะระดับ 5 คือระดับสูงสุด ถุงมือจะช่วยลดโอกาสโดนของมีคมบาดได้ดีเลยครับ
- 4 ความทนต่อการฉีกขาด (ระดับ 1–4) – ถ้าถุงมือโดนแรงดึงหรือแรงกระชาก จะขาดง่ายไหม ระดับ 4 ก็คือแข็งแรงสุดแล้ว
- 3 ความทนต่อการเจาะทะลุ (ระดับ 1–4) – ใช้กับสถานการณ์ที่อาจเจอของแหลม ๆ อย่างตะปูหรือลวด ถ้าระดับสูงก็แปลว่าช่วยป้องกันได้ดีทีเดียวครับ
ทำไมมาตรฐาน EN ถึงสำคัญ?
มาตรฐาน EN เป็นที่ยอมรับในหลายประเทศทั่วโลกเลยก็ว่าได้ครับ โดยเฉพาะในยุโรปและเอเชีย ถ้าจะพูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ ถ้าเราเห็นสัญลักษณ์ EN ติดอยู่บน อุปกรณ์เซฟตี้ อย่างพวก ถุงมือช่าง หรือ หมวกนิรภัย ก็มั่นใจได้ระดับหนึ่งเลยแหละครับว่าสินค้าชิ้นนั้นไม่ได้มาเล่นๆ แต่มันผ่านการทดสอบแบบจริงจังมาแล้ว ทั้งแรงกระแทก ความทนทาน หรือการกันสารเคมีต่างๆ ซึ่งช่วยให้เราทำงานได้อย่างอุ่นใจมากขึ้นนั่นเอง
อุปกรณ์เซฟตี้ มาตรฐาน ANSI (American National Standards Institute)
ANSI เป็นเหมือนพี่ใหญ่ของวงการมาตรฐานในสหรัฐอเมริกาเลยก็ว่าครับ คอยออกเกณฑ์ว่า อุปกรณ์เซฟตี้ แบบไหนที่ถือว่าใช้ได้จริง ไม่ใช่แค่ดูดีแต่ไม่ปลอดภัย ซึ่งเขาก็ทำงานร่วมกับ OSHA หรือหน่วยงานความปลอดภัยของสหรัฐ ที่คนทำงานอุตสาหกรรมคุ้นชื่อกันดี เพื่อร่วมกันกำหนดแนวทางว่าการทำงานแบบไหนถึงจะเรียกว่าปลอดภัยจริง และต้องใช้ อุปกรณ์เซฟตี้ แบบไหนถึงจะผ่านเกณฑ์เหล่านั้น
มาตรฐาน ANSI ที่ควรรู้เกี่ยวกับ อุปกรณ์เซฟตี้
- ANSI Z87.1 แว่นตานิรภัยและ อุปกรณ์เซฟตี้ ป้องกันดวงตา – ถ้าคุณต้องทำงานที่มีเศษวัสดุกระเด็น ฝุ่นละออง หรือแม้แต่แสงแรง ๆ อย่างงานเชื่อมหรืองานช่างไม้ แว่นที่ผ่านมาตรฐาน ANSI Z87.1 นี่แหละครับคือเกราะป้องกันดวงตาชั้นดี เพราะมันผ่านการทดสอบว่าแข็งแรงพอจะกันของกระเด็นได้จริง ไม่ใช่แว่นแฟชั่นธรรมดาแน่นอน
- ANSI Z89.1: หมวกนิรภัย เวลาอยู่ในไซต์งานก่อสร้างหรือโรงงาน บางทีของตกใส่หัวไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ หมวกที่ผ่านมาตรฐาน ANSI Z89.1 จะรับแรงกระแทกได้ดี ลดโอกาสบาดเจ็บจากเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เหมาะสำหรับงานหนักที่ต้องเจอความเสี่ยงจากด้านบน
- ANSI Z41 (รวมใน ASTM F2413) รองเท้าเซฟตี้ – เคยเจอสถานการณ์ที่เดินเหยียบตะปู หรือโดนของหนักหล่นใส่เท้าไหมครับ? ถ้ารองเท้าไม่มีหัวเหล็กหรือไม่ได้มาตรฐาน อันตรายถึงขั้นกระดูกแตกได้เลยนะ แต่ถ้ารองเท้าได้มาตรฐาน ANSI Z41 (ปัจจุบันรวมใน ASTM F2413) ก็มั่นใจได้เลยว่าป้องกันได้แน่นอน ทั้งหัวเหล็ก พื้นเสริม และกันลื่น
- ANSI A10 ความปลอดภัยในงานก่อสร้าง – มาตรฐานนี้จะครอบคลุมหลายเรื่องในไซต์งาน ไม่ว่าจะเป็นการทำงานบนที่สูง การติดตั้งราวกันตก การป้องกันเสียงดัง หรือแม้แต่การใช้เครื่องจักร เรียกได้ว่าเป็นคู่มือความปลอดภัยฉบับเบื้องต้นของงานก่อสร้างเลยก็ว่าได้ครับ
ตัวอย่างฉลาก ANSI บนแว่นตา
- “Z87+” หมายถึง ป้องกันแรงกระแทกได้ตามระดับสูงสุด – แปลว่าแว่นตัวนี้ไม่ได้แตกง่าย ๆ เวลามีเศษอะไรลอยมาโดนตาแน่นอนครับ ใช้แล้วอุ่นใจ
- “D3” หมายถึง กันละอองของเหลวได้ – ถ้าต้องทำงานที่มีโอกาสโดนสารเคมี กระเด็นใส่ตา เช่น น้ำมัน น้ำยาทำความสะอาด แว่นที่มี D3 จะช่วยป้องกันได้ดีเลยครับ
- “U6” หมายถึง ป้องกัน UV ได้ในระดับ 6 – ถ้าทำงานกลางแดด หรืออยู่ในพื้นที่ที่มีแสงจ้าเยอะ ๆ ตัวนี้ช่วยกรองรังสี UV ไม่ให้เข้าตาเรา ช่วยลดความเสี่ยงตาเสื่อมในระยะยาวได้เยอะครับ
อุปกรณ์เซฟตี้ มาตรฐาน มอก. (มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมไทย)
มอก. หรือ “มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม” ถ้าพูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือกฎเกณฑ์ที่ภาครัฐของไทยตั้งขึ้นมาเพื่อให้แน่ใจว่าสินค้าที่วางขาย โดยเฉพาะพวก อุปกรณ์เซฟตี้ จะมีความปลอดภัยจริง ไม่ใช่แค่ผลิตมาแล้วดูดีแต่ใช้งานแล้วอันตราย ซึ่งมาตรฐานนี้ออกโดยสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม หรือที่เราเรียกกันว่า “สมอ.” นั่นเองครับ
มอก. ที่เกี่ยวข้องกับ อุปกรณ์เซฟตี้
- มอก. 685-2540: หมวกนิรภัย
- มอก. 523-2554: รองเท้าเซฟตี้
- มอก. 1056-2548: แว่นตานิรภัย
- มอก. 2676-2558: หน้ากากกรองอนุภาค
- มอก. 1976-2549: ถุงมือยางป้องกันไฟฟ้า
ข้อดีของการเลือก อุปกรณ์เซฟตี้ ที่มี มอก.
- ได้รับการรับรองจากภาครัฐ – เรียกได้ว่าได้รับการการันตีจากหน่วยงานไทยเลยครับว่า อุปกรณ์เซฟตี้ ชิ้นนี้ปลอดภัยจริง ใช้ได้แน่นอน ไม่ใช่ของเถื่อนหรือของที่ไม่ได้มาตรฐาน
- ปลอดภัยตามมาตรฐานที่เหมาะกับสภาพแวดล้อมในไทย – เพราะมาตรฐาน มอก. ถูกออกแบบมาให้เหมาะกับการใช้งานในบ้านเราโดยเฉพาะ ทั้งเรื่องอากาศร้อน ฝุ่นเยอะ หรือความชื้นสูง ใช้แล้วมั่นใจได้เลยว่าเข้ากับหน้างานในไทยสุด ๆ
- ใช้ในการตรวจสอบผ่านตามข้อกำหนดของโรงงานหรือสถานประกอบการ – พูดง่ายๆ คือ ถ้า อุปกรณ์เซฟตี้ ของคุณมี มอก. ติดอยู่ ก็ช่วยให้ผ่านการตรวจสอบความปลอดภัยจากโรงงานหรือหน่วยงานราชการได้ง่ายขึ้น ไม่ต้องมานั่งลุ้นหรือเถียงกับฝ่ายความปลอดภัยว่าของที่ใช้อยู่ได้มาตรฐานไหม เพราะมีตรารับรองให้เห็นกันชัด ๆ ไปเลยครับ
วิธีตรวจสอบเลข มอก.
อุปกรณ์เซฟตี้ ที่มี มอก. จะมีเครื่องหมายตรา “มอก.” พร้อมเลขมาตรฐาน เช่น “มอก. 523-2554” พิมพ์ไว้ชัดเจนบนสินค้า
วิธีเลือก อุปกรณ์เซฟตี้ ให้ตรงมาตรฐาน
1. ดูฉลากมาตรฐานบนสินค้า
- EN: มักมีตัวเลขระบุระดับ เช่น EN 388: 4543 – ถ้าเจอแบบนี้แปลว่าผ่านการทดสอบมาแล้วระดับหนึ่ง ไม่ใช่แค่ใส่ให้ดูเท่ แต่ใช้แล้วปลอดภัยจริงครับ
- ANSI: สังเกตรหัส Z87+, Z89.1 ฯลฯ – พวกรหัสเหล่านี้จะบอกเราได้ว่าแว่นหรือหมวกที่ใส่กันอยู่ ผ่านมาตรฐานอะไรบ้าง ดูไว้ไม่เสียหายครับ
- มอก.: ต้องมีเครื่องหมายและเลข มอก. ชัดเจน – ถ้ามีเครื่องหมาย มอก. อยู่ แปลว่าผ่านการตรวจสอบจากหน่วยงานไทยแล้ว ใช้งานในบ้านเราได้อย่างสบายใจครับ
2. เช็กความเหมาะสมกับประเภทงาน
- งานไฟฟ้า ควรมีมาตรฐานกันไฟฟ้า เช่น EN 50321 หรือ มอก. เฉพาะทาง – เพราะเวลาเราทำงานเกี่ยวกับไฟ ต่อให้เก่งแค่ไหนก็ยังมีความเสี่ยงอยู่ดีครับ ถ้ารองเท้าหรือถุงมือไม่สามารถต้านกระแสไฟฟ้าได้ดี อุบัติเหตุอาจเกิดขึ้นได้ง่ายมาก มาตรฐานพวกนี้จึงเป็นเหมือนเกราะกันไฟที่ทำให้เราทำงานได้อย่างสบายใจมากขึ้น ไม่ต้องลุ้นว่าถ้าพลาดแล้วจะโดนไฟดูดหรือเปล่า
- งานก่อสร้าง ต้องเน้นการกันกระแทกและกันตก เช่น ANSI Z89.1 + A10 – เพราะไซต์ก่อสร้างเต็มไปด้วยความเสี่ยงครับ ทั้งของตกจากที่สูง เสียงดัง หรือทำงานบนที่สูง ถ้าไม่มี อุปกรณ์เซฟตี้ ดีๆ อย่างหมวกนิรภัยที่กันแรงกระแทกได้จริง หรือระบบป้องกันการพลัดตกตามมาตรฐาน A10 ก็เหมือนเดินอยู่ในสนามอันตรายแบบไม่มีเกราะป้องกันเลยทีเดียว
- งานเคมี ต้องมีมาตรฐาน EN 374 หรือหน้ากากที่ผ่าน EN 14387 – เพราะสารเคมีบางอย่างไม่ได้แค่กลิ่นแรง แต่สามารถกัดกร่อนผิวหนังหรือเป็นอันตรายต่อระบบหายใจได้เลยครับ ถ้าคุณต้องผสมสาร ล้างพื้น ใช้น้ำยาที่ไม่แน่ใจว่าแรงแค่ไหน หรืออยู่ในห้องแล็บที่มีไอเคมีลอยฟุ้ง การเลือกถุงมือที่ผ่าน EN 374 และหน้ากากที่ผ่าน EN 14387 ก็เหมือนใส่เกราะป้องกันตัวเองให้ครบ ทั้งเรื่องการสัมผัสและการหายใจ ทำให้เราทำงานได้อย่างมั่นใจมากขึ้น ไม่ต้องกลัวว่าแค่เผลอสูดเข้าไปแล้วจะเกิดอันตรายภายหลัง
3. อย่ามองแค่ราคาถูก
อุปกรณ์เซฟตี้ ราคาถูกที่ไม่มีมาตรฐาน ถึงจะดูเหมือนประหยัดตอนซื้อ แต่จริง ๆ แล้วมันอาจทำให้เราต้องจ่ายแพงในอนาคต ทั้งค่ารักษาพยาบาลหรือความเสียหายที่คาดไม่ถึง แถมบางกรณียังเข้าข่ายผิดกฎหมายด้วยนะครับ โดยเฉพาะถ้าใช้ในโรงงานหรือสถานประกอบการ เพราะฉะนั้น ซื้อทั้งที เลือกของที่ได้มาตรฐานไว้ก่อนดีกว่าครับ ปลอดภัยกว่าเยอะ
สรุป
การเลือกใช้ อุปกรณ์เซฟตี้ ให้ปลอดภัย ไม่ใช่แค่ดูจากรูปลักษณ์หรือราคา แต่ต้องใส่ใจถึงมาตรฐานที่รองรับ เพราะนั่นคือสิ่งที่การันตีว่า อุปกรณ์เซฟตี้ เหล่านั้นผ่านการทดสอบแล้วจริงๆนั่นเอง