อุปกรณ์เซฟตี้

ก่อนเลือก รองเท้าเซฟตี้ ต้องเช็กอะไรบ้าง?

รองเท้าเซฟตี้ หรือที่หลายคนเรียกว่า “รองเท้านิรภัย” ถือเป็นของจำเป็นสำหรับใครที่ทำงานในที่เสี่ยง อย่างเช่น ไซต์ก่อสร้าง โรงงาน หรือแม้แต่งานช่างเล็ก ๆ ที่บ้าน เพราะอุบัติเหตุมันเกิดขึ้นได้เสมอ แต่ก็ต้องบอกตรงๆ ว่า ไม่ใช่ รองเท้าเซฟตี้ ทุกคู่จะใส่แล้วเวิร์กกับทุกคน บางคู่ก็หนักเกินไป บางคู่ก็รัดจนปวดเท้า หรือบางทีซื้อมาแต่กลับป้องกันอะไรไม่ได้เลย

ในบทความนี้เลยจะมาแนะนำแบบง่าย ๆ ว่า ก่อนจะเสียเงินซื้อ รองเท้าเซฟตี้ ซักคู่ มีอะไรบ้างที่คุณควรเช็กให้ชัวร์ จะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจทีหลัง ได้รองเท้าที่ใส่แล้วสบายใจ เดินคล่อง แถมปลอดภัยทุกย่างก้าวด้วย

ประเภทของ รองเท้าเซฟตี้

รองเท้าหัวเหล็ก 

เป็นประเภทพื้นฐานที่เจอกันบ่อยสุดเลยก็ว่าได้ จุดเด่นคือมีแผ่นเหล็กแข็ง ๆ อยู่ตรงหัวรองเท้า คอยช่วยกันเวลาโดนของหนักหล่นใส่ ไม่ว่าจะเป็นไม้ เหล็ก หรือเครื่องมือที่เผลอทำหล่นหลุดมือ ก็ช่วยป้องกันนิ้วเท้าเราได้เยอะเลย เหมาะสุด ๆ สำหรับงานก่อสร้าง งานโกดัง หรือโรงงานที่ต้องยกของหรือทำงานกับวัสดุหนัก ๆ อยู่ตลอด

ถ้าใครทำงานแนวนี้บ่อย ๆ บอกเลยว่า รองเท้าหัวเหล็กเป็นของจำเป็นแบบไม่ควรขาด อย่างน้อยมันก็ช่วยให้เราทำงานได้อย่างมั่นใจ ไม่ต้องคอยระวังเท้าตลอดเวลา ใส่แล้วอุ่นใจขึ้นเยอะ

รองเท้าหัวคอมโพสิต 

ใช้วัสดุแบบพิเศษที่ไม่ใช่โลหะ อย่างคาร์บอนไฟเบอร์ ไฟเบอร์กลาส หรือพลาสติกเกรดแข็งแรงต่าง ๆ ซึ่งข้อดีคือมันเบากว่าหัวเหล็กชัดเจน แถมไม่ต้องห่วงเรื่องนำไฟฟ้าเลย ใครที่เป็นช่างไฟ หรือทำงานในพื้นที่ที่มีไฟฟ้าแรงสูง รวมถึงคนที่ต้องผ่านเครื่องสแกนบ่อย ๆ อย่างในโรงงานหรือสนามบิน รุ่นนี้ตอบโจทย์มาก ใส่แล้วเบาสบาย ไม่ต้องกลัวเสียงเตือนจากเครื่องสแกนแน่นอน

รองเท้าพื้นกันทะลุ 

รุ่นนี้จะมีแผ่นเหล็กหรือวัสดุแข็งแรงพิเศษรองอยู่ใต้พื้นรองเท้า ช่วยป้องกันไม่ให้พวกของแหลม ๆ อย่างตะปู เศษเหล็ก หรือเศษวัสดุต่าง ๆ แทงทะลุขึ้นมาทะลุพื้นรองเท้าได้ ใครที่ทำงานในไซต์ก่อสร้าง เดินในที่ที่มีเศษวัสดุเกลื่อนพื้นอยู่ตลอด รู้ดีเลยว่าแค่เหยียบพลาดก้าวเดียวก็อาจเจ็บตัวได้ แบบนี้แหละที่เรียกว่าอุ่นใจ! รองเท้าพื้นกันทะลุช่วยให้เราเดินทำงานได้อย่างมั่นใจขึ้นเยอะ ไม่ต้องมานั่งจ้องพื้นทุกก้าว หรือกลัวว่าจะเผลอเหยียบอะไรเข้าไปโดยไม่รู้ตัว เหมาะมากกับสายงานลุย ๆ ที่พื้นที่ไม่เป็นมิตรกับเท้าเราเท่าไหร่

รองเท้ากันไฟฟ้าสถิต

รองเท้าประเภทนี้เขาออกแบบมาให้ระบายไฟฟ้าสถิตจากร่างกายเราผ่านพื้นรองเท้าโดยตรงเลยครับ ซึ่งฟังดูอาจไม่สำคัญ แต่จริง ๆ แล้วมันช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดประกายไฟจากการสะสมไฟฟ้าสถิตได้เยอะมาก โดยเฉพาะเวลาที่เราอยู่ในบริเวณที่มีสารไวไฟ หรือใกล้เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ละเอียด ๆ ที่ไฟฟ้าสถิตไปสะสมทีเดียวอาจทำให้พังได้เลย

ใครที่ทำงานในแล็บ โรงงานที่มีอุปกรณ์ไฮเทค หรือที่ต้องคลุกกับสารไวไฟบ่อย ๆ รุ่นนี้ถือว่าเป็นตัวช่วยที่ควรมีติดเท้าไว้เลยครับ ช่วยเซฟทั้งชีวิตและของรอบตัวเราแบบเงียบ ๆ แต่ได้ผลจริง

รองเท้ากันน้ำ/กันน้ำมัน

รองเท้าประเภทนี้จะมีการเคลือบผิวด้วยสารพิเศษที่ช่วยกันน้ำหรือกันน้ำมันไม่ให้ซึมเข้าไปในเนื้อรองเท้า ใครที่ทำงานแล้วต้องเดินลุยในพื้นที่ที่ทั้งเปียก ทั้งมัน ทั้งเลอะบ่อย ๆ อย่างในครัว โรงงานแปรรูปอาหาร หรือพื้นที่ที่มีสารเคมีเจือปน ต้องบอกว่าแบบนี้คือทางรอดเลยครับ

เพราะมันช่วยให้เท้าแห้งอยู่เสมอ ไม่ต้องมาคอยหลบหยดน้ำ ไม่ต้องเดินย่องในพื้นลื่น ๆ แถมยังทำความสะอาดง่ายด้วย ใครที่เบื่อรองเท้าเปียกแล้วเหม็นอับอยู่บ่อย ๆ ลองหาคู่ที่กันน้ำดี ๆ สักคู่ รับรองชีวิตการทำงานสบายขึ้นเยอะ!

1. เช็กสภาพแวดล้อมการทำงานของคุณก่อน

ทำงานที่ไหน?

คุณทำงานในไซต์ก่อสร้าง ลุยกลางแดดจัด ๆ หรืออยู่ในห้องแอร์เย็นฉ่ำทั้งวัน? แต่ละสภาพแวดล้อมมีผลกับการเลือกวัสดุรองเท้าเซฟตี้ทั้งนั้นเลยครับ อย่างถ้าคุณต้องลุยแดดหรือทำงานกลางแจ้งบ่อย ๆ ก็ควรเลือกรุ่นที่ระบายอากาศดี ใส่แล้วไม่อบเท้า หรือถ้าต้องเจอกับน้ำบ่อย ก็เลือกแบบกันน้ำไปเลยจะได้ไม่ต้องทนใส่รองเท้าเปียก ๆ ทั้งวัน ส่วนใครที่ทำงานในห้องแอร์ อาจจะเลือกแบบที่เน้นความนุ่มสบาย ใส่เดินทั้งวันก็ยังชิลล์

มีความเสี่ยงอะไร?

มีของหล่นจากที่สูงบ่อยไหม? เดินบนพื้นเปียกหรือมันลื่นอยู่ตลอด? หรือทำงานใกล้ไฟฟ้าแรงสูงกับอุณหภูมิร้อน ๆ อยู่ทุกวัน? ถ้าใช่…ต้องเริ่มเช็กให้ดีเลยครับ เช่น ถ้าทำงานใกล้ไฟฟ้า ควรเลี่ยงรองเท้าหัวเหล็ก เพราะมันนำไฟได้ ส่วนถ้าเจอกับความร้อนบ่อย ๆ ก็ต้องเลือกรองเท้าที่ใช้วัสดุทนความร้อน ใส่แล้วไม่ละลายหรือทำให้เท้าอับจนลำบาก สรุปง่าย ๆ คือ เช็กก่อนว่าความเสี่ยงในงานคุณมีอะไร แล้วเลือกให้ตรงจุดครับ

เดินทั้งวันหรือยืนนาน?

ถ้าคุณต้องเดินทั้งวัน หรือยืนนาน ๆ แบบแทบไม่มีเวลานั่งพัก การเลือกรองเท้าที่มีพื้นซัพพอร์ตดี ๆ หรือมีพื้นนุ่ม ๆ นี่แหละที่ช่วยเซฟเท้าคุณได้เยอะมาก เพราะถ้าใส่รองเท้าแข็ง ๆ เดินไปสักพัก อาการปวดส้น ปวดฝ่าเท้า หรือเจ็บอุ้งเท้าก็จะตามมาแน่นอน เลือกแบบที่ซัพแรงกระแทกดี ๆ ไว้ก่อน ดีกว่ามานั่งทรมานทีหลังครับ

2. เช็กมาตรฐาน รองเท้าเซฟตี้ ที่ควรรู้

มอก. (มาตรฐานอุตสาหกรรมไทย)

เจ้ามาตรฐาน มอก. เนี่ย ก็เหมือนใบรับรองจากภาครัฐไทยว่า รองเท้าคู่นั้นปลอดภัยพอที่จะใช้ในงานจริงได้แน่นอน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความทนต่อแรงกระแทก แรงกด หรือแม้แต่การลื่น เหมือนเป็นตัวช่วยคัดกรองเบื้องต้นให้เราได้เลยว่า อย่างน้อยก็ผ่านเกณฑ์พื้นฐานไว้ใจได้ระดับนึงแล้ว

มาตรฐานยุโรป EN ISO 20345

เป็นมาตรฐานระดับสากล ระบุระดับการป้องกันด้วยสัญลักษณ์

  • SB = พื้นฐาน
  • S1 = มีหัวเหล็ก + พื้นกันลื่น
  • S1P = S1 + พื้นกันทะลุ
  • S2 = S1 + กันน้ำ
  • S3 = S2 + พื้นกันทะลุ

มาตรฐาน ASTM (สหรัฐอเมริกา)

อย่างเช่น ASTM F2413 จากฝั่งอเมริกา ซึ่งครอบคลุมแทบจะทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องแรงกระแทก การป้องกันไฟฟ้า สารเคมี หรือแม้แต่อุณหภูมิร้อน ๆ หนาว ๆ ก็เอาอยู่หมดเลยครับ การเลือกรองเท้าที่มีมาตรฐานรองรับแบบนี้ ช่วยให้เราใส่แล้วมั่นใจได้มากขึ้นว่า ไม่ใช่แค่ใส่เท่ ๆ หรือผ่าน ๆ ไปวัน ๆ แต่มันพร้อมปกป้องเท้าจริง ๆ ในเวลาที่เกิดเหตุไม่คาดฝันด้วย

3. เช็กวัสดุและน้ำหนัก รองเท้าเซฟตี้

หนังแท้ vs หนังสังเคราะห์

  • หนังแท้: จุดเด่นคือทนทานมาก ใส่แล้วไม่ขาดง่าย แถมยังระบายอากาศได้ดี ใครที่ต้องใส่รองเท้าทั้งวันน่าจะชอบแน่นอน แต่ก็ต้องยอมรับว่าราคาอาจจะแอบแรงนิดนึง และน้ำหนักจะมากกว่าหนังสังเคราะห์นิดหน่อย ใครไม่ซีเรียสเรื่องน้ำหนัก ถือว่าใส่แล้วคุ้มระยะยาวเลยครับ
  • หนัง PU หรือ PVC: เป็นตัวเลือกยอดฮิตสำหรับคนที่มองหา รองเท้าเซฟตี้ ราคาเบา ๆ เพราะราคาถูกกว่าแบบหนังแท้ค่อนข้างเยอะ น้ำหนักก็เบา ใส่แล้วไม่เมื่อยง่าย แถมยังกันน้ำได้ดีอีกต่างหาก เหมาะกับคนที่ทำงานในพื้นที่เปียกหรือโดนน้ำบ่อย ๆ แต่ก็ต้องยอมรับว่า ความทนทานอาจไม่เทียบเท่าหนังแท้ ใส่ไปนาน ๆ มีสิทธิ์สึกหรือแตกเร็วกว่า ดังนั้นถ้าไม่ได้ใช้งานหนักมาก หนัง PU หรือ PVC ก็ถือว่าโอเคเลยครับ

พื้นรองเท้า

  • ยาง (Rubber): จุดเด่นคือทนความร้อนได้แบบสบาย ๆ ไม่ต้องกลัวพื้นร้อน ๆ หรือของร้อนตกใส่พื้นแล้วจะละลาย แถมยังทนต่อสารเคมีต่าง ๆ ได้ดี ใครทำงานในโรงงานที่มีน้ำมันหรือสารเคมี ต้องเดินเหยียบของพวกนี้บ่อย ๆ พื้นยางนี่แหละคือของที่ควรมี ใส่แล้วอุ่นใจว่าไม่พังง่ายแน่นอน
  • PU (Polyurethane): น้ำหนักเบา นุ่มเท้า ใส่แล้วสบาย เดินทั้งวันก็ไม่ค่อยปวดเมื่อย เหมาะกับคนที่ทำงานนาน ๆ ไม่อยากใส่รองเท้าหนัก ๆ ให้เมื่อย แต่ก็มีข้อเสียเล็กน้อยคือ มันไม่ค่อยทนเท่าพื้นยาง ถ้าใช้งานหนัก หรือโดนความร้อน-น้ำมันบ่อย ๆ อาจเสื่อมสภาพเร็วกว่า ใครที่ใช้งานทั่วไปหรืออยู่ในที่แห้ง ๆ ถือว่าโอเคเลยครับ

น้ำหนัก

รองเท้าที่มีทั้งหัวเหล็กและพื้นกันทะลุมักจะมีน้ำหนักมากกว่าปกติ ซึ่งถ้าใครต้องเดินหรือยืนนาน ๆ ทั้งวัน น้ำหนักตรงนี้มีผลกับความล้าแน่นอนครับ แนะนำว่าอย่ารีบซื้อจากแค่หน้าตาหรือสเปกอย่างเดียว ลองใส่จริง เดินจริงสักหน่อยก่อนจะตัดสินใจ เพราะบางคู่พอใส่แล้วรู้สึกหนักเกินไปก็อาจทำให้เมื่อยง่าย ปวดขาเร็ว หรือใส่แล้วไม่อยากหยิบมาใช้อีกเลยก็ได้

4. เช็กรูปทรงและความพอดีของเท้า

หัวรองเท้ากว้างพอไหม?

บางคนมีหน้าเท้ากว้างเป็นพิเศษ พอไปใส่รองเท้าหัวแคบก็จะรู้สึกบีบ ๆ รัดนิ้วจนปวดไปหมด ใส่ทำงานนาน ๆ นี่มีทรมานแน่นอนครับ เพราะฉะนั้นควรเลือกรุ่นที่ออกแบบมาให้รองรับรูปเท้าคนเท้ากว้างโดยเฉพาะ หรือถ้ารุ่นนั้นไม่มีไซซ์พิเศษ ลองขยับเบอร์ขึ้นอีกนิดก็ช่วยให้ใส่สบายขึ้นเยอะ ไม่ต้องทนใส่แบบฝืน ๆ ทั้งวัน

  • หุ้มข้อ: ป้องกันข้อเท้าพลิก กันฝุ่นและเศษวัสดุต่างๆ เหมาะกับงานกลางแจ้ง
  • โลว์คัท: เบา สวมง่าย ระบายอากาศดี เหมาะกับงานเบาหรือในร่ม

แผ่นรองใน

ควรมีความยืดหยุ่นดี ซัพพอร์ตอุ้งเท้าได้แน่นหนา และที่สำคัญคือสามารถดูดซับแรงกระแทกจากการเดินหรือยืนทั้งวันได้ เพราะถ้าแผ่นรองในดี เราจะรู้สึกเลยว่าเดินได้นานขึ้นโดยไม่เมื่อยเท้า แถมยังช่วยลดอาการปวดเมื่อยตามส้นเท้าหรือฝ่าเท้า ใส่แล้วรู้สึกสบายแบบไม่ต้องลุ้นว่าจะเมื่อยตอนบ่ายหรือกลับบ้านด้วยเท้าบวม ๆ

5. เช็กพื้น รองเท้าเซฟตี้ ป้องกันลื่นและทะลุได้ไหม?

พื้นกันลื่น (Slip Resistant)

เลือกรุ่นที่พื้นรองเท้ามีลายดอกยางชัดเจนแบบเห็นแล้วรู้เลยว่าเกาะพื้นแน่นอน เพราะลายพวกนี้แหละที่ช่วยให้ไม่ลื่นง่าย โดยเฉพาะคนที่ต้องเดินบนพื้นเปียก พื้นมัน หรือพื้นที่ที่มีน้ำมันหกเป็นเรื่องปกติ วัสดุก็ควรเลือกแบบที่ยึดเกาะพื้นผิวได้ดี เช่น ยางคุณภาพดี เดินแล้วไม่สไลด์ให้หัวทิ่มกลางโรงงานนะครับ

พื้นกันทะลุ (Puncture Resistant)

ควรเลือกรองเท้าที่มีแผ่นเหล็กหรือวัสดุคอมโพสิตแข็งแรงเสริมอยู่ใต้พื้น เพื่อช่วยกันไม่ให้ของแหลม ๆ อย่างตะปู เศษเหล็ก หรือเศษวัสดุต่าง ๆ ทะลุขึ้นมาโดนเท้าได้ โดยเฉพาะใครที่ทำงานก่อสร้าง หรือเดินอยู่ในพื้นที่ที่มีของแหลมเกลื่อนพื้นอยู่ตลอด แบบนี้คือของต้องมีเลยครับ ช่วยให้เดินได้มั่นใจ ไม่ต้องคอยก้มดูพื้นทุกก้าว

6. เช็กการระบายอากาศและกลิ่นเท้า

มีรูระบายอากาศหรือไม่?

รองเท้าบางรุ่นเขาใส่ใจเรื่องการระบายอากาศด้วยนะครับ บางคู่มีรูระบายเล็ก ๆ หรือใช้วัสดุแบบผ้าที่ช่วยให้เท้าไม่อับ ไม่อบ ใส่แล้วรู้สึกสบายทั้งวัน โดยเฉพาะคนที่เหงื่อออกง่ายหรือทำงานในที่ร้อน ๆ นี่แหละ ตัวช่วยดี ๆ ที่ทำให้ไม่ต้องมานั่งกลัวกลิ่นเท้าตอนถอดรองเท้าอีกต่อไป

มีคุณสมบัติต้านแบคทีเรียหรือไม่?

บางรุ่นมีแผ่นรองในที่เขาใส่เทคโนโลยีหรือวัสดุเคลือบพิเศษเข้ามา ช่วยต้านแบคทีเรียและลดกลิ่นเท้าได้ดีเลยครับ ใส่ทั้งวันก็ยังรู้สึกแห้งสบาย ไม่อับ ไม่ต้องกลัวว่าถอดรองเท้าแล้วจะมีใครเหลือบมอง เพราะกลิ่นไม่พึงประสงค์ แบบนี้แหละเหมาะกับคนที่ต้องทำงานทั้งวันจริงๆ

7. เช็กดีไซน์และภาพลักษณ์

แม้ รองเท้าเซฟตี้ จะเน้นเรื่องความปลอดภัยเป็นหลัก แต่ยุคนี้ต้องบอกเลยว่าไม่ต้องทนใส่รองเท้าหนา ๆ หนัก ๆ หน้าตาเชย ๆ อีกต่อไปแล้วครับ เพราะหลายแบรนด์เขาดีไซน์ออกมาให้ดูแฟชั่นมากขึ้น ใส่แล้วดูดี ไม่จำเป็นต้องดูเป็นช่างตลอดเวลา!

มีทั้งทรงสปอร์ต ทรงคล้ายรองเท้าผ้าใบที่ดูเท่ ใส่ไปออฟฟิศก็ไม่เคอะเขิน หรือจะเป็นโทนสีเข้ม ๆ อย่าง ดำ กรมท่า เทา ที่ใส่แล้วดูคลาสสิก เรียบร้อย เหมาะกับหลายสถานการณ์ ใครที่ต้องออกนอกไซต์ไปเจอลูกค้าหรือเข้าออฟฟิศบ้าง จะได้ไม่รู้สึกว่าเท้าเราดูหลุดธีม

8. เช็กราคา และความคุ้มค่า

ราคาถูกเกินไป = เสี่ยงไม่ได้มาตรฐาน

ถ้าเจอ รองเท้าเซฟตี้ ราคาถูกแบบผิดปกติ จนรู้สึกว่า ‘เฮ้ย! มันจะถูกไปไหม?’ อันนี้ต้องระวังให้ดีเลยครับ เพราะอาจเป็นของที่ไม่ได้มาตรฐาน หรือใช้วัสดุคุณภาพต่ำ ใส่ไปไม่นานก็พัง แถมเสี่ยงต่อความปลอดภัยอีกต่างหาก ทางที่ดีควรลองเช็กรีวิวจากคนที่เคยซื้อมาแล้ว หรือเลือกซื้อจากร้านที่ไว้ใจได้ดีกว่า จะได้ไม่ต้องเสี่ยงเสียเงินทิ้งเปล่า ๆ

ราคาแพงแต่คุ้มค่า = ใส่ได้นาน ไม่ต้องเปลี่ยนบ่อย

บางรุ่นแม้ราคาจะแอบแรงนิดนึง แต่พอได้ลองใส่จริงแล้วจะรู้เลยว่า ‘เฮ้ย มันสบายเท้ากว่าที่คิด!’ ไม่ปวด ไม่บีบ ไม่เมื่อย ใส่ลุยได้ทั้งวันสบาย ๆ แถมยังทนมาก บางคู่อยู่กันได้ 2–3 ปีแบบไม่มีพัง ถ้ามองระยะยาวถือว่าคุ้มสุด ๆ ซื้อครั้งเดียวจบ ไม่ต้องเปลี่ยนบ่อยให้เสียเวลา

9. เช็กแบรนด์และการรับประกัน

แบรนด์ดัง = มั่นใจในมาตรฐาน

อย่างแบรนด์ที่หลายคนน่าจะเคยได้ยิน เช่น Bata, Safety Jogger, Caterpillar, Kings หรือ Red Wing พวกนี้ถือว่าเป็นตัวท็อปในวงการ รองเท้าเซฟตี้ เลยครับ เพราะนอกจากดีไซน์จะดูดีแล้ว ยังผ่านมาตรฐานสากลหลายด้าน ใส่แล้วมั่นใจได้ว่าเท้าเราปลอดภัยจริง ไม่ใช่แค่ดูเท่ไปวัน ๆ

มีการรับประกันหรือเปล่า?

บางร้านหรือแบรนด์ใจดีหน่อยก็จะมีรับประกันให้ 6 เดือน บางเจ้าให้ยาวถึง 1 ปีเลยนะครับ ถ้าใส่ไปแล้วเจอปัญหาที่เกิดจากการผลิต เช่น เย็บไม่ดี พื้นหลุดง่าย หรือมีตำหนิอะไรตั้งแต่ยังไม่ทันใช้งาน ก็สามารถติดต่อขอเปลี่ยนหรือเคลมได้เลย แบบนี้ก็ช่วยให้เราอุ่นใจมากขึ้นเวลาเลือกซื้อ

สรุป

การเลือก รองเท้าเซฟตี้ ไม่ใช่แค่เรื่องความปลอดภัยเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อสุขภาพเท้า ความเมื่อยล้า และประสิทธิภาพในการทำงานอีกด้วย การเช็กให้ครบในทุกข้อข้างต้น จะช่วยให้คุณได้รองเท้าที่เหมาะกับงาน ใส่แล้วสบาย และปลอดภัยจริง ไม่ต้องเสียเงินเปล่า หรือเปลี่ยนคู่บ่อยๆ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *