รู้ก่อนคุ้มก่อน 5 เรื่องที่ต้องรู้ก่อนซื้อ ระดับน้ำ!
สำหรับมือใหม่หรือผู้ที่ชท่นชอบงาน DIY หรือใครก็ตามที่กำลังมองหา ระดับน้ำ มาไว้ใช้งาน ถ้าเห็นบทความนี้แล้ว อย่าเพิ่งรีบซื้อนะครับ! ถึงแม้ว่า ระดับน้ำ มันจะดูๆเหมือนเครื่องมือที่ใครก็ใช้กันได้ง่ายๆแต่จริงๆแล้ว มันมีรายละเอียดเล็กๆน้อยๆเอาจทำให้คุณเลือกผิดได้ง่ายๆเลยแหล่ะครับ
ในบทความนี้ผมจะพาคุณไปเปิดโปง 5 ข้อที่สำคัญก่อนเลือกซื้อ ระดับน้ำ ไม่ว่าคุณจะเป็นช่างไม้ ช่างปูน ช่างไฟ หรือเจ้าของบ้านที่อยากติดตั้งของในบ้านให้ออกมาดูเป๊ะสวย ลองอ่านให้จบก่อนครับ แล้วคุณจะไม่เสียเงินเปล่าแน่นอนผมรับรอง!
1. ความแม่นยำของ ระดับน้ำ ไม่เท่ากันทุกแท่ง!
หลายคนเข้าใจว่าแค่ ระดับน้ำ มีฟองอากาศตรงกลาง ก็ถือว่าใช้ได้แล้ว แต่ความจริงมันไม่ได้ง่ายขนาดนั้นครับ เพราะระดับน้ำ แต่ละแบบมีค่าความแม่นยำไม่เท่ากันเลย บางแท่งอาจเบี่ยงเบนเพียง 0.5 มม. ต่อเมตร ซึ่งถือว่าเป๊ะมากๆ เหมาะกับงานละเอียดสุดๆ แต่บางแบบอาจเพี้ยนถึง 1 มม. ต่อเมตร ซึ่งถ้าคุณเอาไปติดตั้งตู้ หรือทำโครงสร้างที่ต้องเป๊ะจริงๆ นี่เบี้ยวแบบมองออกเลยนะครับ!
แล้วจะรู้ได้ยังไงว่า ระดับน้ำ แม่นแค่ไหน?
- ลองสังเกตดูค่าความแม่นยำที่เขาระบุไว้บนตัวระดับน้ำครับ อย่างเช่น “Accuracy: ±0.5mm/m” อะไรแบบนี้ ถ้าเห็นตัวเลขยิ่งน้อยยิ่งดีครับ เพราะหมายถึงมันเป๊ะมาก อีกอย่างที่ช่วยให้เรามั่นใจได้คือดูแบรนด์ที่เขามีมาตรฐานรับรอง เช่น VPA จากเยอรมัน หรือ ISO พวกนี้จะการันตีได้ระดับหนึ่งว่าไม่ใช่ของก๊อปเกรดล่าง ๆ
แต่ถ้าจะให้ชัวร์ ลองหยิบระดับน้ำขึ้นมาแล้วพลิกกลับหัวดูเลยครับ ถ้าฟองอากาศยังอยู่ที่เดิมเป๊ะๆ แบบไม่ไหลไปไหน แปลว่ามันตรงจริง แต่ถ้าเคลื่อนชัดเจนเมื่อกลับด้าน แบบนี้ต้องคิดแล้วครับว่าไว้ใจได้แค่ไหน
คำแนะนำ
ถ้างานที่คุณทำเป็นแนวงานไม้ หรืองานติดตั้งเฟอร์นิเจอร์ เช่น ติดชั้นวาง ตู้บิลต์อิน หรืองานที่ต้องอาศัยความเป๊ะทุกมิลลิเมตร ผมแนะนำให้เลือกค่าความแม่นยำระดับ ±0.5 mm/m ไปเลยครับ ใช้แล้วสบายใจ ไม่ต้องกลัวงานเบี้ยวให้เสียอารมณ์
แต่ถ้าเป็นงานทั่วไปในบ้าน เช่น แขวนรูป ติดราวผ้า หรืองาน DIY ทั่วไป ค่าความแม่นยำที่ ±1.0 mm/m ก็ยังพอได้อยู่ครับ แต่อย่าลืมดูด้วยว่ายี่ห้อนั้นน่าเชื่อถือแค่ไหน เพราะบางรุ่นแม้จะเขียนว่าแม่น แต่พอใช้จริงกลับเพี้ยนซะงั้น!
2. ฟองอากาศอยู่ตรงกลาง อาจจะไม่ตรงเสมอไป!
ข้อนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่หลายๆคนพลาดกันแบบไม่รู้ตัวเลยครับ เวลาพอเห็นฟองอากาศอยู่ตรงกลางก็คิดว่า “โอเค!ตรงแล้วแหละ ใช้ได้เลย” แต่จริงๆ แล้วมันไม่เสมอไปนะครับ โดยเฉพาะถ้าเป็น ระดับน้ำ ที่มีราคาถูก บางแท่งหล่อหลอดฟองน้ำมาไม่แม่นตั้งแต่โรงงานหรือโดนกระแทกแรงๆไปแล้ว หลอดมันเขยื้อนนิดเดียวก็เพี้ยนแล้วครับ แบบนี้ต่อให้อยู่ตรงกลางก็ไม่ได้แปลว่างานจะตรงเสมอไป ต้องระวังกันให้ดีๆ
วิธีทดสอบแบบง่าย ๆ
- วาง ระดับน้ำ ลงบนพื้นเรียบ ๆ ที่คุณมั่นใจว่าเสมอกันจริง ๆ เช่น โต๊ะไม้หรือพื้นกระเบื้อง
- ดูตำแหน่งฟองอากาศแล้วจำภาพไว้ในใจ (หรือจะถ่ายรูปเก็บไว้ก็ได้ครับ เผื่อเปรียบเทียบ)
- พลิก ระดับน้ำ กลับด้านซ้ายเป็นขวา (กลับหัวนั่นแหละ)
- สังเกตดูว่าฟองอากาศยังอยู่ตำแหน่งเดิมไหม ถ้าใช่ แสดงว่าเจ้าแท่งนี้แม่นครับ!
- แต่ถ้าฟองอากาศมันเลื่อนไปเยอะ แบบชัดเจนเลย แปลว่าเครื่องมือนี่เพี้ยนแล้ว ใช้ต่ออาจทำให้งานเบี้ยวไม่รู้ตัวครับ
ข้อควรรู้
- ฟองอากาศควรจะ “หยุดนิ่ง” ได้ในไม่กี่วินาทีหลังจากวางระดับน้ำนิ่ง ๆ ถ้ามันยังแกว่งไปมาเหมือนเมาเรืออยู่ แปลว่าอาจมีปัญหาแล้วครับ เช่น น้ำในหลอดเริ่มเสื่อม หรือวัสดุหลอดคุณภาพไม่ดีเท่าไหร่
- ส่วนตัวหลอดน้ำก็ควรจะติดแน่นกับตัวแท่งนะครับ ถ้าหยิบแล้วรู้สึกว่ามันโยกหรือคลอน ๆ เหมือนจะหลุดออกมา แบบนี้ก็ต้องระวังไว้เลย เพราะมันส่งผลกับความแม่นยำโดยตรงครับ
3. ขนาด ระดับน้ำ ส่งผลกับงานมากกว่าที่คิด
หลายคนมักจะเลือกจากขนาดที่พกง่ายหรือใส่กระเป๋าเครื่องมือได้พอดี แล้วคิดว่าแค่นี้ก็พอแล้วใช่ไหมครับ? แต่จริง ๆ แล้ว ขนาดของ ระดับน้ำ มีผลกับการทำงานมากกว่าที่คิดครับ เพราะถ้าเราใช้ขนาดที่สั้นเกินไปกับงานใหญ่ มันอาจทำให้วัดไม่แม่น หรือถ้าขนาดยาวเกินไปกับพื้นที่แคบ ก็อาจจะเกะกะใช้งานลำบาก ดังนั้นเลือกให้ตรงกับลักษณะงานจะช่วยให้งานคุณตรงเป๊ะ และทำได้เร็วขึ้นแบบไม่ต้องงัดไม้บรรทัดมาช่วยเลยครับ!
ตัวอย่างขนาดและการใช้งานที่เหมาะสม
- 20-30 ซม.: เหมาะกับงานพื้นที่แคบ เช่น ติดตั้งปลั๊กไฟ แขวนกรอบรูป
- 60 ซม.: ขนาดยอดนิยม ใช้งานได้อเนกประสงค์ทั้งในบ้านและไซต์งาน
- 100-120 ซม.: เหมาะกับงานก่อสร้าง ติดตั้งประตู หน้าต่าง หรือผนัง
- 150-200 ซม.: สำหรับงานโครงสร้าง หรืองานที่ต้องเช็กแนวระยะยาว
คำแนะนำ
- อย่าเพิ่งหลงดีลเด็ดหรือราคาที่ดูคุ้มในตอนแรกนะครับ เพราะระดับน้ำแต่ละขนาดมันเหมาะกับงานต่างกันจริง ๆ บางทีซื้ออันใหญ่สุดมาในราคาถูก แต่ใช้ในห้องแคบ ๆ แล้วหมุนไม่ถนัดก็กลายเป็นใช้งานยากไปซะงั้น
- แล้วก็ขอบอกเลยครับว่า ระดับน้ำยิ่งยาว ยิ่งแม่น! (ถ้าเป็นของดี) เพราะมันสามารถวัดแนวได้ละเอียดและลดความเพี้ยนที่อาจเกิดขึ้นได้ในระยะสั้น ๆ ได้เยอะเลยครับ
4. วัสดุและโครงสร้างส่งผลต่อความทนทานโดยตรง
ระดับน้ำ ที่ดีควรทำจากวัสดุที่แข็งแรงพอตัวครับ อย่างน้อยต้องไม่บิดงอเวลาวางทับบนโครงสร้างหรือพื้นที่ไม่เรียบ และที่สำคัญคือต้องทนตก ไม่ใช่หล่นเบาๆ จากโต๊ะแล้วร้าว! เพราะเชื่อเถอะครับ เวลาทำงานจริง ๆ มันมีเผลอหล่นอยู่บ่อยแน่นอน วัสดุดี ๆ ก็จะช่วยให้ ระดับน้ำ อยู่กับเราได้ไปนาน ไม่ต้องเปลี่ยนบ่อยให้เสียเงินซ้ำซาก
ประเภทวัสดุทั่วไปในระดับน้ำ
- อะลูมิเนียม (Aluminum): วัสดุยอดฮิตของระดับน้ำครับ เพราะมันทั้งเบา ไม่ขึ้นสนิม แถมยังพอทนแรงกระแทกได้ดีในระดับหนึ่งอีกด้วย เหมาะมากสำหรับใครที่ต้องพกพาเครื่องมือไปไซต์งานบ่อย ๆ ไม่หนักมือ ไม่ถ่วงกระเป๋า แต่ก็อย่าลืมนะครับว่า ถ้าใช้งานหนักมาก ๆ ก็ควรเลือกที่มีโครงเสริมหรือยางกันกระแทกด้วย จะช่วยยืดอายุการใช้งานได้เยอะเลย
- โครงเหล็ก: ข้อดีคือมันแข็งแรงแบบสุด ๆ ครับ เหมาะกับงานที่ต้องการความทนทานเป็นหลัก ไม่ต้องกลัวบิดงอง่าย ๆ แน่นอน แต่ก็ต้องยอมรับว่ามันค่อนข้างหนัก มือใหม่พอถือ ๆ ไปนาน ๆ อาจเมื่อยได้เหมือนกัน อีกเรื่องที่ต้องระวังคือถ้าไม่ได้เคลือบป้องกันดี ๆ เจอความชื้นเข้าไปก็มีสิทธิ์สนิมถามหาได้ง่าย ๆ ครับ
- พลาสติก ABS: ถ้าคุณใช้งานในบ้าน เช่น แขวนกรอบรูปหรือติดของเล็ก ๆ น้อย ๆ พลาสติก ABS ก็ถือว่าเพียงพอครับ เพราะมันเบา หยิบใช้ง่าย ไม่ทำให้กล่องเครื่องมือหนักเกินไป แถมราคายังน่าคบอีกต่างหาก แต่ต้องบอกตามตรงเลยว่า มันไม่เหมาะกับงานหนักหรือพื้นที่ที่มีแรงกระแทกบ่อย ๆ เพราะแตกง่ายครับ ใช้ดีถ้าใช้งานถูกประเภท!
โครงสร้างเสริมอื่น ๆ ที่ควรสังเกต
- ขอบกันกระแทก (Rubber End Cap): อันนี้ช่วยชีวิตระดับน้ำของคุณไว้ได้เยอะเลยครับ โดยเฉพาะถ้าเผลอทำตกจากที่สูง เพราะมันจะช่วยซับแรงกระแทกไม่ให้ตัวแท่งบุบหรือหลอดน้ำหลุดง่าย ๆ
- ผิวเคลือบป้องกันรอยหรือเคมี: บางรุ่นเขาใส่ใจถึงขั้นเคลือบผิวไว้ป้องกันพวกคราบน้ำยา สี หรือรอยขีดข่วนเล็ก ๆ ที่อาจเกิดตอนลากไปกับพื้นผิวต่าง ๆ ซึ่งช่วยให้ใช้งานได้นานขึ้นเยอะครับ
- การประกบมุมที่แน่นหนา ไม่บิดงอเมื่อกดลงแรง: ข้อนี้สำคัญมาก เพราะบางคนทำงานแล้วเผลอกดระดับน้ำแรง ๆ ถ้าโครงสร้างไม่แน่นพอ มันจะเริ่มบิด เริ่มเพี้ยน งานก็ไม่ตรงตามไปด้วยครับ
คำแนะนำ
- ถ้าคุณต้องใช้ระดับน้ำกับงานก่อสร้าง หรืองานที่ต้องเจอสภาพโหด ๆ อย่างไซต์งานนอกสถานที่ หรือการติดตั้งแนวคาน แนวประตู แนะนำให้เลือกแบบที่ทำจากอะลูมิเนียมแข็งแรง ๆ หน่อย และถ้ามีขอบยางกันกระแทกด้วยก็ยิ่งดีครับ เพราะเวลาเผลอวางแรง ๆ หรือหล่นจากที่สูง มันจะช่วยยืดอายุการใช้งานได้เยอะเลย
- แต่ถ้าใช้แค่ในบ้าน เช่น แขวนรูป ทำชั้นวาง หรืองานเล็ก ๆ ที่ไม่ต้องขนไปไหนบ่อย ๆ ก็เลือกแบบพลาสติกคุณภาพดีได้ครับ ประหยัดงบด้วย แต่ก็อย่าลืมดูด้วยว่าใช้งานไม่หนักเกิน เพราะพลาสติกบางรุ่นแตกง่าย ใช้ไปไม่นานอาจต้องซื้อใหม่บ่อย ๆ
5. อย่าลืมดูว่าต้องการฟีเจอร์เสริมไหม?
สมัยนี้ ระดับน้ำ เขาไม่ได้มีแค่หลอดฟองอากาศธรรมดาๆ ตรงกลางอีกแล้วครับ หลายรุ่นพัฒนาไปไกล อย่าง STABILA ที่มาพร้อมกับฟีเจอร์เสริม ที่ช่วยให้งานช่างเป็นเรื่องง่ายขึ้นเยอะ บางอย่างนี่เรียกได้ว่าถ้าเคยใช้แล้วจะกลับไปใช้รุ่นธรรมดาแทบไม่ลงเลย ทั้งช่วยให้แม่นขึ้น เร็วขึ้น แถมยังสะดวกสบายขึ้นอีกต่างหาก
ตัวอย่างฟีเจอร์ที่น่าสนใจ
แม่เหล็กใต้แท่งระดับน้ำ: อันนี้เหมาะมากสำหรับคนที่ต้องทำงานกับโครงเหล็ก ท่อ หรือโครงสร้างโลหะ เพราะเราแค่แปะระดับน้ำลงไป มันก็ยึดติดเลย ไม่ต้องจับค้างให้เมื่อยมือ สะดวกสุด ๆ ครับ
- หน้าจอดิจิตอล: ใครที่ต้องเช็กองศาหรือลาดเอียงแบบเป๊ะ ๆ จะหลงรักฟีเจอร์นี้แน่นอนครับ เพราะมันแสดงค่าตัวเลขออกมาเลย ไม่ต้องเดา ไม่ต้องเพ่งให้ปวดตา
- บับเบิล 45 องศา: ถ้าคุณต้องติดตั้งชิ้นงานเฉียง ๆ อย่างราวบันไดหรือโครงเหล็กเฉียง ฟีเจอร์นี้จะช่วยให้คุณวัดมุมได้ง่ายขึ้นเยอะ ไม่ต้องพกโปรแทรกเตอร์ให้ยุ่งยาก
- หลอดเรืองแสง/แสงสะท้อน: เคยไหมครับทำงานในที่มืด แล้วมองฟองอากาศไม่เห็น? หลอดแบบนี้แหละช่วยได้เยอะ เพราะมันมองเห็นได้แม้แสงน้อย ไม่ต้องพึ่งไฟฉาย
- ช่องมองด้านข้าง (Side View): บางทีเราดูฟองอากาศจากด้านบนไม่ถนัด ช่องมองด้านข้างนี่ช่วยให้เห็นมุมอื่นได้ชัดขึ้น โดยเฉพาะเวลาวางระดับน้ำในที่แคบ ๆ
คำแนะนำ
- ถ้าคุณทำงานกับท่อหรือโครงเหล็ก แม่เหล็กช่วยได้มาก
- ถ้าเป็นงานปรับพื้นหรือแนวเอียง การมีหน้าจอดิจิตอลช่วยลดความผิดพลาดได้
สรุป
ถ้าคิดจะซื้อ ระดับน้ำ ให้ดูมากกว่าราคา! แม้ระดับน้ำจะดูเหมือนเครื่องมือชิ้นเล็ก ๆ แต่ความสำคัญของมันต่อความแม่นยำของงานนั้นใหญ่โตเกินตัวครับ บ่อยครั้งที่ปัญหางานเบี้ยว งานเอียง หรือแนวไม่ตรง มาจากระดับน้ำที่เพี้ยน โดยที่เจ้าของงานไม่รู้ตัว