เครื่องมือวัดไฟฟ้า
เครื่องมือช่าง

ไฟตก ไฟดับ หรือไฟช็อต? ใช้ ‘เครื่องมือวัดไฟฟ้า’ แกะรอยปัญหาในบ้าน…วินิจฉัยแม่น แก้ไขได้!

คุณเคยไหมคะที่อยู่ดี ๆ ไฟก็ดับไปครึ่งบ้าน? หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าทำงานผิดปกติอยู่เรื่อย ๆ? ปัญหาไฟฟ้าในบ้านเป็นเรื่องที่สร้างความกังวลใจและอันตรายได้เสมอ แต่ก่อนจะโทรเรียกช่าง รู้ไหมคะว่าคุณเองก็สามารถใช้ เครื่องมือวัดไฟฟ้า ที่มีอยู่ (หรือกำลังจะซื้อ) มาช่วย แกะรอยปัญหา และ วินิจฉัยอาการเสีย ของระบบไฟฟ้าในบ้านได้ด้วยตัวเองในเบื้องต้น!

บทความนี้เราจะพาคุณไปเรียนรู้การใช้ เครื่องมือวัดไฟฟ้าที่จำเป็น สำหรับคนทั่วไป เพื่อรับมือกับสถานการณ์ไฟฟ้ากวนใจที่พบบ่อยในบ้าน ไม่ว่าจะเป็นไฟตก ไฟดับ หรือไฟรั่ว เราจะมาดูกันว่าปัญหาแต่ละแบบมีสาเหตุมาจากอะไร และคุณจะใช้เครื่องมือวัดไฟฟ้าแต่ละชนิดมาช่วยหาต้นตอของปัญหาได้อย่างไร เพื่อให้คุณสามารถแก้ไขได้ตรงจุด หรืออย่างน้อยสามารถบอกอาการให้ช่างเข้าใจได้ง่ายขึ้น

ทำไมต้อง ‘แกะรอยปัญหา’ ด้วยตัวเอง? ประหยัดเวลา ปลอดภัย และเข้าใจบ้านมากขึ้น!

การที่คุณสามารถใช้ เครื่องมือวัดไฟฟ้า เพื่อวินิจฉัยปัญหาไฟฟ้าเบื้องต้นได้ด้วยตัวเอง มีประโยชน์หลายอย่างเลยค่ะ

  • ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย: ปัญหาเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่ต้องรอช่างนาน ๆ หรือเสียค่าบริการโดยไม่จำเป็น การรู้สาเหตุเบื้องต้นทำให้ช่างทำงานได้ไวขึ้น และอาจประเมินค่าใช้จ่ายได้แม่นยำขึ้น
  • เพิ่มความปลอดภัย: การรู้ว่าไฟตก ไฟดับเกิดจากอะไร ทำให้เราสามารถรับมือได้อย่างถูกวิธี ไม่เสี่ยงต่ออันตราย หรือทำให้ปัญหาลุกลาม
  • เข้าใจระบบไฟฟ้าในบ้าน: การได้ลงมือตรวจเช็กเองจะช่วยให้คุณมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับระบบไฟฟ้าในบ้านมากขึ้น ทำให้คุณสามารถดูแลบ้านได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัยยิ่งขึ้น
  • ป้องกันปัญหาลุกลาม: การตรวจพบความผิดปกติได้เร็ว อาจช่วยป้องกันความเสียหายต่อเครื่องใช้ไฟฟ้า หรือระบบไฟฟ้าในบ้านก่อนที่จะสายเกินไป

เครื่องมือวัดไฟฟ้า

เมื่อเกิดปัญหาไฟฟ้า: ‘เครื่องมือวัดไฟฟ้า’ ชิ้นไหนช่วยอะไรได้บ้าง?

มาดูกันว่าปัญหาไฟฟ้าที่พบบ่อย ๆ ในบ้าน คุณควรหยิบ เครื่องมือวัดไฟฟ้า ชิ้นไหนมาใช้ และจะตรวจเช็กอะไรได้บ้างค่ะ

1: ไฟฟ้าดับทั้งบ้าน หรือดับบางส่วน (เบรกเกอร์ทริป)

อาการ: ไฟดับสนิททั้งบ้าน หรือดับแค่บางจุด เช่น ห้องครัว ห้องนั่งเล่น หลังจากได้ยินเสียง “เป๊าะ” หรือ “แกร๊ก” จากตู้ควบคุมไฟฟ้า (ตู้ Consumer Unit / Breaker Panel)

  • สาเหตุที่เป็นไปได้: ไฟฟ้าลัดวงจร, การใช้ไฟเกินกำลัง, อุปกรณ์ไฟฟ้าชำรุด, เบรกเกอร์เสีย
  • เครื่องมือวัดไฟฟ้าที่ใช้:
    • ปากกาวัดไฟแบบไม่ต้องสัมผัส (Non-Contact Voltage Tester):
      • ใช้ตรวจสอบว่าเบรกเกอร์ตัวที่ทริปนั้น “ไม่มีไฟ” แล้วจริง ๆ หลังจากที่คุณสับเบรกเกอร์ลงแล้ว
      • วิธีใช้: จ่อปลายปากกาไปที่ตัวเบรกเกอร์แต่ละตัวในตู้ควบคุม (อย่างระมัดระวัง) เพื่อดูว่ามีไฟไหลผ่านอยู่หรือไม่ หากเบรกเกอร์ทริปแล้วไม่มีไฟ ควรตรวจสอบเบรกเกอร์ตัวอื่นที่ยังเปิดอยู่ว่ามีไฟปกติไหม
    • มัลติมิเตอร์ (Multimeter):
      • หากคุณมีมัลติมิเตอร์ และพอมีความรู้พื้นฐานการใช้งานบ้าง สามารถใช้ วัดแรงดันไฟฟ้า เพื่อยืนยันว่าไฟยังมาถึงตู้ควบคุมหรือไม่ หรือวัดแรงดันไฟฟ้าที่ออก/ไม่ออกจากเบรกเกอร์ที่ทริป
      • วิธีใช้: ตั้งย่านวัดแรงดันไฟฟ้ากระแสสลับ (AC Voltage) ไปที่ 250V หรือสูงกว่า (สำหรับไฟบ้าน 220V) ใช้สายวัดแตะที่ขั้วเข้าและขั้วออกของเบรกเกอร์แต่ละตัว เพื่อยืนยันว่าไม่มีไฟ หรือวัดแรงดันไฟที่เข้ามาในตู้ปกติหรือไม่
      • วัดความต่อเนื่อง (Continuity Test) สำหรับสายไฟนอกอาคาร/อุปกรณ์: ใช้หาสาเหตุไฟฟ้าลัดวงจรเบื้องต้นในอุปกรณ์ที่สามารถถอดปลั๊กได้
      • วิธีใช้: ต้องปิดเบรกเกอร์หลักก่อนเสมอ และถอดปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้าที่สงสัยว่ามีปัญหาออกทั้งหมด จากนั้นตั้งย่านวัดความต่อเนื่องของมัลติมิเตอร์ (มักจะมีสัญลักษณ์คล้าย Wi-Fi หรือเสียงบี๊บ) ใช้สายวัดแตะที่ขั้วปลั๊ก (2 ขา หรือ 3 ขา) ของอุปกรณ์นั้นๆ ถ้าเครื่องส่งเสียง แสดงว่าอาจมีไฟฟ้าลัดวงจรเกิดขึ้นในตัวอุปกรณ์ หรือสายไฟของอุปกรณ์นั้นๆ

เครื่องมือวัดไฟฟ้า

2: ไฟฟ้าตก/ไฟไม่เต็ม (Voltage Drop)

อาการ: หลอดไฟหรี่ลง, เครื่องใช้ไฟฟ้าทำงานไม่เต็มประสิทธิภาพ (เช่น พัดลมหมุนช้าลง), หรือมอเตอร์ทำงานผิดปกติ

  • สาเหตุที่เป็นไปได้: แรงดันไฟฟ้าไม่พอ (อาจเกิดจากระบบสายไฟเก่า, สายไฟเล็กเกินไป, การใช้ไฟเกินกำลัง), ปัญหาจากการไฟฟ้า
  • เครื่องมือวัดไฟฟ้าที่ใช้:
    • มัลติมิเตอร์ (Multimeter):
      • วัดแรงดันไฟฟ้าที่เต้ารับ หรือที่จุดที่สงสัยว่าไฟตก เพื่อดูว่าแรงดันไฟฟ้าลดลงจาก 220V ปกติมากน้อยแค่ไหน
      • วิธีใช้: ตั้งย่านวัดแรงดันไฟฟ้ากระแสสลับ (AC Voltage) ไปที่ 250V หรือสูงกว่า เสียบสายวัดเข้ากับรูเต้ารับที่สงสัยว่าไฟตก หรือวัดที่ขั้วของเครื่องใช้ไฟฟ้าขณะที่กำลังทำงาน เพื่อดูว่าแรงดันไฟที่ส่งมาถึงเพียงพอหรือไม่
    • เครื่องวัดอุณหภูมิแบบอินฟราเรด (Infrared Thermometer):
      • ใช้ตรวจจับความร้อนที่ผิดปกติในบริเวณปลั๊กไฟ เต้ารับ หรือขั้วต่อที่อาจเป็นสาเหตุของไฟตก (ถ้าหากมี)
      • วิธีใช้: แค่เล็งไปที่จุดที่สงสัยว่าร้อน เครื่องจะแสดงอุณหภูมิผิวหน้าให้เห็นทันที หากพบจุดไหนร้อนผิดปกติ อาจบ่งชี้ถึงการเชื่อมต่อหลวม หรือการใช้ไฟเกินกำลัง ซึ่งอาจเป็นสาเหตุของไฟตก

3: ไฟรั่ว (Leakage Current) และปัญหาเต้ารับ/สายดิน

อาการ: โดนไฟดูดเบา ๆ เวลาสัมผัสเครื่องใช้ไฟฟ้า, หรือเบรกเกอร์กันดูด (RCD/RCBO) ทริปบ่อยๆ

  • สาเหตุที่เป็นไปได้: ฉนวนสายไฟเสื่อมสภาพ, อุปกรณ์ไฟฟ้าชำรุด, การต่อสายดินไม่ถูกต้อง, หรือไม่มีสายดิน
  • เครื่องมือวัดไฟฟ้าที่ใช้:
    • เครื่องทดสอบเต้ารับ (Socket Tester):
      • เป็นเครื่องมือแรกที่ควรใช้! ตรวจสอบว่าเต้ารับนั้น ๆ ต่อสายไฟถูกต้องตามมาตรฐานหรือไม่ โดยเฉพาะ สายดิน ว่าเชื่อมต่อและทำงานถูกต้องหรือไม่
      • วิธีใช้: แค่เสียบเครื่องทดสอบปลั๊กไฟเข้าไปในเต้ารับ ไฟ LED ที่แสดงสถานะจะบอกผลลัพธ์ให้คุณรู้ทันที (นี่คือเครื่องมือที่แนะนำที่สุดสำหรับปัญหานี้!)
    • มัลติมิเตอร์ (Multimeter):
      • หากเครื่องทดสอบเต้ารับบ่งชี้ว่าสายดินมีปัญหา หรือคุณต้องการตรวจสอบเพิ่มเติม สามารถใช้วัดความต่อเนื่องระหว่างโครงโลหะของเครื่องใช้ไฟฟ้ากับรูสายดินที่เต้ารับได้ (แต่ต้องระวังและมีความรู้พื้นฐาน)
      • วิธีใช้: ต้องถอดปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้าออกก่อนเสมอ ตั้งย่านวัดความต่อเนื่องของมัลติมิเตอร์ ใช้สายวัดด้านหนึ่งแตะที่โครงโลหะของเครื่องใช้ไฟฟ้า อีกด้านแตะที่รูสายดินของปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้านั้น หากเครื่องส่งเสียง แสดงว่ามีสายดินเชื่อมต่อกับโครงของเครื่องใช้ไฟฟ้า ซึ่งปกติแล้วจะดี (แต่ถ้าสงสัยไฟรั่วจริงจังจากตัวเครื่อง ควรปรึกษาช่าง)

เครื่องมือวัดไฟฟ้า

4: ความร้อนผิดปกติในระบบไฟฟ้า (Overheating)

อาการ: ได้กลิ่นไหม้, ขั้วต่อเบรกเกอร์ร้อน, สายไฟอุ่นๆ หรือปลั๊กไฟละลาย

  • สาเหตุที่เป็นไปได้: การใช้ไฟเกินกำลัง, จุดเชื่อมต่อหลวม, สายไฟขนาดเล็กเกินไป, หรืออุปกรณ์ไฟฟ้าชำรุด
  • เครื่องมือวัดไฟฟ้าที่ใช้:
    • เครื่องวัดอุณหภูมิแบบอินฟราเรด (Infrared Thermometer):
      • ทำอะไร: ใช้ตรวจจับความร้อนที่ผิดปกติในระบบไฟฟ้าโดยไม่ต้องสัมผัส
      • วิธีใช้: แค่เล็งไปที่ตู้ควบคุม เบรกเกอร์ ขั้วต่อ สายไฟ ปลั๊กไฟ หรืออุปกรณ์ไฟฟ้าที่สงสัยว่าร้อน เครื่องจะแสดงอุณหภูมิผิวหน้าให้เห็นทันที หากพบจุดไหนร้อนผิดปกติ ให้ระวังและดำเนินการแก้ไขทันที (หากจุดร้อนชัดเจน ควรรีบติดต่อช่าง เพราะเป็นอันตรายร้ายแรง!)

ความปลอดภัยต้องมาก่อน: หลักการสำคัญที่คนรักบ้านต้องจำ!

แม้ เครื่องมือวัดไฟฟ้า จะช่วยให้คุณแกะรอยปัญหาได้ แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือ ความปลอดภัย

  • ถอดปลั๊ก/สับเบรกเกอร์ก่อนเสมอ: ก่อนลงมือทำอะไรก็ตามกับระบบไฟฟ้า ควรแน่ใจว่าได้ตัดกระแสไฟฟ้าออกแล้วเสมอ
  • ใช้เครื่องมือให้ถูกประเภท: ห้ามใช้เครื่องมือวัดไฟที่ไม่ได้ออกแบบมาสำหรับแรงดันไฟฟ้าสูง กับระบบไฟฟ้าที่มีแรงดันสูงโดยเด็ดขาด
  • สวมใส่อุปกรณ์ป้องกัน: ถุงมือกันไฟฟ้า (ถ้ามี) หรืออย่างน้อยก็ถุงมือยางหนา ๆ และรองเท้าที่ฉนวนดี ๆ เป็นสิ่งสำคัญ
  • อย่าลังเลที่จะเรียกช่างมืออาชีพ:
    • หากพบกลิ่นไหม้ ควัน หรือประกายไฟ: รีบสับเบรกเกอร์เมนหลักลงทันที แล้วโทรหาช่างไฟโดยด่วน! นี่คือสัญญาณอันตรายร้ายแรงที่ต้องให้ช่างผู้เชี่ยวชาญมาดูแลเท่านั้น
    • หากปัญหาสลับซับซ้อน หรือคุณไม่มั่นใจ: เช่น ไฟฟ้าดับทั้งบ้านโดยไม่มีเหตุผล, มีเสียงดังผิดปกติจากตู้ไฟ, หรือปัญหาที่เกิดซ้ำๆ อย่าพยายามแก้ไขเอง เพราะอาจก่อให้เกิดอันตรายได้ ควรเรียกช่างไฟฟ้าที่มีใบอนุญาตและความเชี่ยวชาญมาช่วย

เครื่องมือวัดไฟฟ้า

‘เครื่องมือวัดไฟฟ้า’ คู่ใจคนรักบ้านยุคใหม่

การมี เครื่องมือวัดไฟฟ้า ติดบ้านไว้ และรู้ว่าควรจะใช้มันตอนไหน เพื่อตรวจเช็กอะไร จะช่วยให้คุณรับมือกับปัญหาไฟฟ้าในบ้านได้อย่างมั่นใจและปลอดภัยมากขึ้นค่ะ ไม่จำเป็นต้องเป็นช่างมืออาชีพ ก็สามารถดูแลบ้านให้ห่างไกลจากอันตรายเรื่องไฟฟ้าได้

เริ่มต้นจากเครื่องมือที่ใช้งานง่ายที่สุด เช่น ปากกาวัดไฟ หรือ เครื่องทดสอบเต้ารับ ก่อนก็ได้ค่ะ แล้วค่อย ๆ เรียนรู้และทำความเข้าใจเครื่องมืออื่น ๆ อย่าง มัลติมิเตอร์ (สำหรับคนที่อยากเรียนรู้เพิ่มเติม) ตามความจำเป็นและความสนใจของคุณนะคะ เพราะความรู้คู่กับเครื่องมือที่เหมาะสม จะทำให้คุณเป็นเจ้าของบ้านที่ฉลาดและปลอดภัยที่สุดค่ะ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *