จะติด โช๊คประตู ต้องรู้อะไรบ้าง? รวมประเภท ข้อดี และวิธีเลือกแบบช่างมืออาชีพ
ในระบบประตูสมัยใหม่ “ความเสถียรตอนปิด” ถือเป็นจุดที่ผู้ใช้งานสังเกตมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นอาคารสำนักงาน โรงแรม ร้านค้า ไปจนถึงงานบ้านทั่วไป ประตูที่ปิดเร็วเกินไป ปิดช้าเกินไป หรือปิดแล้วกระแทก ล้วนบ่งบอกถึงการเลือกอุปกรณ์ควบคุมแรงปิดที่ไม่เหมาะสม โดยเฉพาะ โช๊คประตู (Door Closer) ซึ่งเป็นกลไกหลักในการกำหนดจังหวะและแรงปิดให้เหมาะสมกับน้ำหนักประตูและรูปแบบการใช้งาน
โช๊คประตู ไม่ได้มีลักษณะเดียวอย่างที่หลายคนเข้าใจ แต่ถูกพัฒนาให้มีหลายประเภท เพื่อรองรับเงื่อนไขของอาคารและสเปกประตูที่หลากหลาย ตั้งแต่ประตูไม้เบาทั่วไป ประตูกระจกบานใหญ่ ประตูภายนอกที่ต้องเจอลมแรง ไปจนถึงงานที่ต้องการดีไซน์เรียบเนียนจนมองแทบไม่เห็นอุปกรณ์
ความทนทาน ความนิ่ง และอายุการใช้งานของ โช๊คประตู ขึ้นอยู่กับการ “เลือกให้ตรงกับประเภทงาน” เป็นอันดับแรก บทความนี้น้องช่างจึงรวบรวม 6 ประเภท โช๊คประตู ที่ใช้จริงในงานช่างปัจจุบัน พร้อมโครงสร้าง จุดเด่น และลักษณะงานที่เหมาะสมของแต่ละแบบ เพื่อให้เห็นชัดเจนว่าเหตุใดโช๊คบางรุ่นจึงเหมาะกับงานเชิงพาณิชย์ บางรุ่นเหมาะกับงานดีไซน์ และบางรุ่นถูกออกแบบมาเพื่อประตูที่มีน้ำหนักมากเป็นพิเศษ
เมื่อเข้าใจประเภทของ โช๊คประตู การเลือกสเปกที่ถูกต้องก็จะง่ายขึ้นทันที และเป็นพื้นฐานสำคัญที่ช่วยให้ประตูทำงานนิ่ง เงียบ และคงสภาพการใช้งานได้ยาวนานกว่าปกติ
โช๊คประตู คืออะไร ทำไมต้องมี?
ก่อนจะไปถึงประเภท ขอเกริ่นแบบเข้าใจงานช่างหน่อย…
ในงานประตูของอาคารสมัยใหม่ สิ่งที่ถูกให้ความสำคัญไม่ใช่แค่ “เปิด–ปิดได้” แต่ต้องควบคุม แรงปิด ความเร็ว และจังหวะการปิด ให้เสถียรที่สุด ทั้งเพื่อความปลอดภัย อายุการใช้งานของบานประตู และความเรียบร้อยของระบบโดยรวม ซึ่งเป็นหน้าที่ของอุปกรณ์ที่เรียกว่า โช๊คประตู (Door Closer)
โช๊คประตู ทำหน้าที่ควบคุมให้ประตู
- ปิดแบบนุ่มนวล ไม่กระแทก
- ไม่สั่นสะเทือนจนกระทบอาคารหรือวงกบ
- ลดความเสี่ยงต่อการหนีบมือ (โดยเฉพาะในพื้นที่สาธารณะ)
- คงแรงปิดให้คงที่แม้ใช้งานหลายร้อยครั้งต่อวัน
ระบบภายในของ โช๊คประตู ส่วนใหญ่ประกอบด้วย
- แกนลูกสูบ (Piston Rod)
- ห้องน้ำมันไฮดรอลิก (Hydraulic Chamber)
- สปริงแรงดึง ที่กำหนดพลังในการปิด
- วาล์วควบคุมความเร็ว (Control Valves)
เมื่อประตูถูกเปิด แกนลูกสูบจะถูกดึงกลับเข้าไปในตัวโช๊ค น้ำมันจะไหลผ่านวาล์วควบคุม และเมื่อปล่อยมือ สปริงจะดันลูกสูบกลับ ทำให้ประตู “ปิดอย่างมีจังหวะ” ตามค่าที่ตั้งไว้ แทนที่จะปิดแบบฟาดหรือเหวี่ยงเหมือนประตูทั่วไปที่ไม่ใช้โช๊ค
แม้ระบบจะดูเชิงกลไก แต่ในงานจริง การเลือก โช๊คประตู ให้เหมาะกับ น้ำหนักบาน, วัสดุประตู, ความถี่ในการเปิดปิด, และ สภาพแวดล้อม เป็นตัวกำหนดประสิทธิภาพทั้งหมดของระบบ ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไม โช๊คประตู จึงเป็นอุปกรณ์มาตรฐานในอาคารยุคใหม่ทั้งภาคพาณิชย์และที่พักอาศัย
6 ประเภท โช๊คประตู ที่นิยมใช้จริง
ต่อไปนี้คือ 6 ประเภท โช๊คประตู ที่พบมากที่สุดในงานบ้าน อาคารสำนักงาน ร้านค้า โรงแรม และงานประตูกระจก
1) โช๊คประตู แบบแขนโช๊คคอ (Standard Arm Door Closer)
ประเภทพื้นฐานที่สุด และยังเป็นรุ่นที่ถูกใช้งานมากที่สุดในงานอาคารทุกประเภท

โช๊คประตู แบบแขนโช๊คคอเป็นรูปแบบที่พบได้มากที่สุด เพราะโครงสร้างเรียบง่าย มีความทนทานสูง และรองรับงานตั้งแต่บ้านพักไปจนถึงอาคารสำนักงานทั่วไป ลักษณะสำคัญคือ แขนสองท่อนที่ทำงานร่วมกัน เพื่อดึงลูกสูบภายในตัวโช๊คให้ควบคุมจังหวะการปิดประตูอย่างสม่ำเสมอ
แม้จะเป็นรุ่นมาตรฐาน แต่ในงานจริงถือเป็นตัวเลือก “คุ้มที่สุด” สำหรับประตูไม้และประตูเหล็กทั่วไป ด้วยเหตุผลด้านความเสถียรและการบำรุงรักษาที่ง่าย
จุดเด่นของ โช๊คประตู แบบแขนโช๊คคอ
- รองรับประตูไม้และประตูเหล็กเป็นหลัก
- รับน้ำหนักได้ดี ตั้งแต่ประตูเบาจนถึงรุ่นประตูหนัก (บางรุ่นรองรับได้ถึง ราว 240 กก.)
- วาล์วปรับแรงปิดหลายระดับ ทำให้จูนให้เข้ากับขนาดประตูได้ง่าย
- อะไหล่และชิ้นส่วนมาตรฐาน หาง่าย และช่างส่วนใหญ่ทำงานกับรุ่นนี้ได้คล่อง
- ซ่อมง่ายและอายุการใช้งานยาว หากตั้งค่าถูกต้องตั้งแต่แรก
เหมาะกับงานประเภทใด
- ประตูสำนักงาน
- บ้านพักอาศัย
- ห้องเรียนหรืออาคารราชการ
- ร้านค้า–คลินิก–สำนักงานย่อย
- ประตูที่มีการเปิด–ปิดบ่อยวันละหลายสิบครั้งขึ้นไป
ในพื้นที่เหล่านี้ ความต้องการสำคัญคือ “ประตูต้องปิดได้เสถียรทุกครั้ง” ซึ่งโช๊คประเภทนี้ให้ความคุ้มค่าและตอบโจทย์มากที่สุด
ทำไมจึงเป็นรุ่นที่ใช้งานแพร่หลายที่สุด
เหตุผลชัดเจนมาจาก 3 ด้านหลัก
- ราคาสมเหตุสมผล เมื่อเทียบกับความทนและแรงปิด
- ติดตั้งไม่ซับซ้อน ใช้เวลาติดตั้งไม่นาน และค่าบำรุงรักษาต่ำ
- ประสิทธิภาพเหมาะกับงานส่วนใหญ่ในอาคาร ไม่ต้องใช้สเปกสูงเกินจำเป็น แต่ให้ความเสถียรได้ดีมาก
ด้วยคุณสมบัติทั้งหมดนี้ ทำให้ โช๊คประตู แบบแขนโช๊คคอถูกมองว่าเป็น “ตัวมาตรฐานของงานช่างประตู” และเป็นจุดเริ่มต้นในการเลือกโช๊คที่ง่ายที่สุดในระบบอาคารทั่วไป
2) โช๊คประตู แบบแขนสไลด์ (Slide Arm Door Closer)
รุ่นที่ออกแบบมาเพื่อความ “เรียบเนียน” ทั้งการใช้งานและงานดีไซน์อาคาร

โช๊คประตู แบบแขนสไลด์มีลักษณะโดดเด่นตรงที่ ไม่มีแขนสองท่อนยื่นออกมาเหมือนรุ่นมาตรฐาน แต่ใช้ระบบ “รางสไลด์” ที่เก็บตัวแขนไว้ในร่อง ทำให้ตัวอุปกรณ์ดูเรียบร้อยและทันสมัยกว่า เหมาะกับอาคารที่ต้องการความกลมกลืนระหว่างตัวโช๊คและประตู
ในงานช่างมักถูกเลือกเมื่อต้องการโช๊คที่ “ทำงานดี” แต่ไม่ดึงสายตาจนเกินความจำเป็น โดยเฉพาะพื้นที่ที่การออกแบบภายในมีผลต่อภาพลักษณ์ขององค์กรหรือบ้านสมัยใหม่
จุดเด่นของ โช๊คประตู แบบแขนสไลด์
- ดีไซน์สวยและเรียบมาก เพราะรางสไลด์ซ่อนทิศทางของแขนได้ดี ทำให้ตัวโช๊คไม่ดูเกะกะ
- การทำงานเงียบกว่า เนื่องจากจังหวะสไลด์มีแรงกระทำสม่ำเสมอ
- เข้ากับประตูไม้และประตูเหล็กที่ให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์
- รับน้ำหนักได้ประมาณ 180–200 กก. แล้วแต่รุ่น
- เหมาะกับงานที่ต้องการความเรียบร้อยเป็นพิเศษ เช่น งานติดตั้งในโครงการระดับพรีเมียม
เหมาะสำหรับ
- ห้องประชุม
- อาคารสำนักงานที่มีงานออกแบบภายในในโทนโมเดิร์น
- บ้านพักที่เน้นความมินิมอล
- ห้องผู้บริหารหรือพื้นที่ที่ต้องการความเป็นระเบียบ
- ร้านกาแฟ–คลินิก–โคเวิร์กกิ้งสเปซ ที่ต้องการภาพลักษณ์ทันสมัย
พื้นที่เหล่านี้มีลักษณะร่วมกันคือ “ต้องการฟังก์ชัน + ความสวยงาม” พร้อมกัน และตัวโช๊คประเภทนี้ตอบโจทย์ตรงจุด
ข้อสังเกตในการใช้งานจริง
แม้ดีไซน์จะเรียบร้อยกว่า แต่การใช้รางสไลด์ทำให้
- แรงส่งลดลงเมื่อเทียบกับแขนโช๊คมาตรฐาน
- ไม่เหมาะกับประตูที่มีน้ำหนักมากเป็นพิเศษ
- ไม่เหมาะกับพื้นที่ที่มีแรงลมปะทะบ่อย หรือประตูภายนอกอาคาร
เพราะโครงสร้างแขนสไลด์ถูกออกแบบเพื่อความเนียนมากกว่าความแรง การใช้งานจึงต้องเลือกให้เหมาะกับหน้างานจริง
3) โช๊คประตู แบบซ่อนในบาน (Concealed Door Closer)
ซ่อนเก่งแบบงานเนี๊ยบสุด—ประตูดูคลีน แต่ทำงานเงียบและเนียนเหมือนมืออาชีพคอยดึงให้ปิด

ประเภทนี้น้องช่างชอบมากเป็นพิเศษ เพราะมันเป็นโช๊คที่ “ไม่โชว์ตัว” แต่ทำงานดีเกินหน้าเกินตาใครเพื่อนค่ะ ตัวโช๊คจะฝังไว้ในบานหรือในวงกบ ทำให้เวลามองผ่าน ๆ คือเหมือนไม่มีอะไรอยู่เลย แต่พอปล่อยมือ… ประตูก็ปิดเองแบบสุภาพ ๆ ไม่มีโครงเหล็ก ไม่มีแขนโช๊คให้เกะกะสายตาเลย
เป็นตัวเลือกที่คนเน้นดีไซน์รักมาก เพราะได้ฟีลมินิมอลสุดแบบไม่ต้องพยายาม แต่ยังควบคุมความนุ่มนวลของการปิดได้ดีมาก
จุดเด่น
- เรียบเนียนเหมือนไม่มีโช๊ค – เหมาะกับคนชอบดีไซน์สะอาด ๆ ไม่มีอะไรมาแทรกความสวยของประตู
- ระดับงานพรีเมียม – ทั้งดีไซน์และความรู้สึกเวลาประตูปิดคือเนียนจริง
- ใช้ได้ทั้งประตูไม้และประตูเหล็ก – ให้ความมั่นคงดีเลยค่ะ
- รับน้ำหนักได้ประมาณ 180 กก. – ดังนั้นใช้กับประตูบานหนักก็ยังไหว
เหมาะสำหรับ
- บ้านที่เน้นความสวยและความเรียบร้อย
- โครงการหรู / บ้านเดี่ยวระดับพรีเมียม
- โรงแรม หรือห้องที่ต้องการงานดีไซน์เรียบลึก
- งานตกแต่งภายในสไตล์มินิมอลหรือโมเดิร์นที่ห้ามมีอะไรมารบกวนสายตา
ข้อควรระวัง
- ติดตั้งยากกว่าแบบอื่น – เพราะต้องเซาะร่องหรือฝังในบาน ควรให้ช่างมืออาชีพทำเท่านั้น
- การซ่อมเข้าถึงยากกว่า – ถ้าต้องแก้ไข อาจต้องเปิดบานหรือรื้อบางส่วนเพื่อเข้าถึงตัวโช๊ค
4) โช๊คประตู อัตโนมัติ (Automatic Swing Door Closer)
อัตโนมัติเต็มระบบ เปิด–ปิดเองเหมือนประตูโรงพยาบาล แต่ใช้งานในบ้านและสำนักงานได้สบาย

โช๊คประตู แบบนี้คือรุ่นที่ “มีระบบมอเตอร์ช่วยเปิด–ปิด” ทำงานร่วมกับชุดควบคุมไฮดรอลิกภายใน ตัวเครื่องติดด้านบนของประตูเหมือนกล่องยาว ๆ ทำงานแม่นยำ เปิดเอง ปิดเอง ไม่ต้องจับ ไม่ต้องออกแรง ผลลัพธ์คือสะดวกมาก โดยเฉพาะบ้านที่มีผู้สูงอายุ หรือพื้นที่ที่ต้องการความปลอดภัยสูงค่ะ
จุดเด่น
- เปิด–ปิดอัตโนมัติ 100% ด้วยระบบไฟฟ้าร่วมกับกลไก
- เหมาะกับผู้สูงอายุ ผู้ใช้วีลแชร์ หรือพื้นที่ที่ต้องการอำนวยความสะดวก
- ใช้งานร่วมกับปุ่มกด รีโมต หรือสวิตช์ไร้สายได้
- รองรับบานที่น้ำหนักมาก ใช้กับประตูสำนักงานหรือประตูห้องที่คนเดินเข้า–ออกตลอดเวลาได้ดี
- ทำงานเสถียร ปิดนุ่ม ไม่กระแทก
เหมาะสำหรับ
- บ้านที่มีผู้สูงอายุ
- อาคารสำนักงาน
- ร้านค้า คลินิก โรงพยาบาล
- ประตูที่ต้องควบคุมการเข้า–ออก
- พื้นที่ที่ต้องการมาตรฐานความปลอดภัยสูง
ข้อควรระวัง
- เพราะเป็นระบบไฟฟ้า ต้องมีการดูแลมากกว่าโช๊คไฮดรอลิกทั่วไป
- ต้องให้ช่างติดตั้งเพื่อเซ็ตแรงเปิด–ปิดให้เข้ากับน้ำหนักบาน
- ราคามักสูงกว่าแบบปกติ แต่ได้ความสะดวกและปลอดภัยเพิ่มขึ้นเยอะค่ะ
5) โช๊คประตู แบบฝังพื้น (Floor Spring Door Closer)
คู่แท้ของประตูกระจกบานใหญ่ หนัก และใช้งานถี่ — งานกระจกต้องคู่นี่เท่านั้น

โช๊คแบบฝังพื้นคือรุ่นที่ “ตัวเครื่องอยู่ใต้พื้น” แล้วใช้แกนเชื่อมขึ้นมาที่บานประตู เหมาะสุด ๆ สำหรับประตูกระจกบานเปลือย เพราะทั้งรับน้ำหนักได้ดีเยี่ยม แข็งแรง เสถียร และให้ความรู้สึกเรียบร้อย ไม่มีแขนโช๊คเกะกะด้านบน ทำให้ประตูกระจกดูสวยและโปรแบบงานห้างงานโชว์รูมเลยค่ะ
จุดเด่น
- รับน้ำหนักได้เยอะมาก — บางรุ่นรองรับได้ สูงสุดถึง 600 กก.
- ทนงานหนักสุดในบรรดาโช๊คทั้งหมด
- ใช้งานกับประตูกระจกบานเปลือยได้ดีเยี่ยม
- ซ่อนอยู่ใต้พื้น ทำให้หน้าตาประตูดูสะอาด โล่ง ไม่รก
- เหมาะกับพื้นที่ที่มีคนเดินผ่านตลอดทั้งวัน
เหมาะสำหรับ
- ห้างสรรพสินค้า
- ร้านค้า
- โชว์รูมรถยนต์
- อาคารสำนักงานที่ใช้ประตูกระจกบานใหญ่
- ร้านอาหารหรือคาเฟ่ที่ใช้ประตูกระจกแบบเต็มบาน
ข้อควรรู้
- ต้องเว้นช่องพื้นและเตรียมงานตั้งแต่ช่วงก่อสร้าง (หรือรีโนเวต)
- หากพื้นเอียงหรือเบี้ยว จะส่งผลให้ประตูปิดไม่สนิท
- ควรติดตั้งโดยช่างที่มีประสบการณ์ เพราะต้องตั้งศูนย์ให้ตรงเป๊ะ
- หากต้องซ่อมต้องเปิดพื้นบางส่วน จึงควรเลือกแบรนด์คุณภาพตั้งแต่แรกค่ะ
6) ระบบ Pivot สำหรับประตูบานใหญ่ (Pivot System for Heavy Door)
เอาอยู่ทุกประตูไซซ์ยักษ์ — ทั้งสวย ทั้งแข็งแกร่ง สำหรับงานดีไซน์ระดับโปร

ระบบ Pivot คือชุดหมุนที่ติดตั้ง “บน-ล่างของวงกบหรือพื้น” เพื่อให้ประตูหมุนได้อย่างสมูทแทนการใช้บานพับทั่วไป จุดเด่นคือมันรองรับประตูที่ใหญ่และหนักมาก ๆ ได้ดีเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็นประตูบ้านหรูที่สูงเกือบเต็มผนัง หรือประตูร้านกาแฟที่เป็นบานไม้ชิ้นเดียวขนาดใหญ่ ก็ยังเปิด–ปิดได้เบาอย่างไม่น่าเชื่อค่ะ
จุดเด่น
- รองรับน้ำหนักได้สูงถึง 500 กก.
- ใช้ได้กับประตูที่มีความกว้างตั้งแต่ 1,000–3,800 มม.
- เปิด–ปิดลื่นมาก แม้หน้าบานจะใหญ่แบบเต็มผนัง
- ให้ลุคงานดีไซน์พรีเมียม ดูแพงและทันสมัย
- ไม่ต้องมีบานพับหลายตัว ทำให้เส้นสายงานออกแบบดูสะอาด
เหมาะสำหรับ
- ประตูบ้านสไตล์ลอฟต์หรือสไตล์โมเดิร์น
- ประตูทางเข้าโครงการและบ้านระดับไฮเอนด์
- ร้านกาแฟ ร้านอาหาร หรือโชว์รูมที่ต้องการจุดเด่นทางดีไซน์
- อาคารสำนักงานที่ออกแบบประตูพิเศษขนาดใหญ่
ข้อควรระวัง
- ต้องใช้ช่างเฉพาะทางในการติดตั้ง เพราะต้องตั้งจุดหมุนให้แม่นยำ
- ควรออกแบบตั้งแต่ช่วงวางแปลน เพื่อเผื่อพื้นที่ติดตั้งชุด Pivot
- ต้องเลือกอุปกรณ์คุณภาพสูง เพราะประตูหนักมาก หากเลือกถูกเกินไปจะมีปัญหาการทรุดหรือปิดไม่สนิทในอนาคต
เลือก โช๊คประตู อย่างไรให้เหมาะกับงาน?
1) ดูน้ำหนักประตูก่อน — จุดเริ่มต้นสำคัญที่สุด
โช๊คแต่ละรุ่นจะระบุ “ค่าแรงปิด EN Rating (EN2–EN6)” ซึ่งผูกกับน้ำหนักและขนาดประตูโดยตรง
ถ้าเลือก EN ไม่ตรงกับน้ำหนักประตู จะเกิดสองอย่างนี้ทันที:
- ประตู ปิดไม่สนิท เพราะแรงไม่พอ
- หรือ ปิดแรงเกิน จนกระแทกดัง ตกใจทั้งบ้าน
น้องช่างแนะนำ: ถ้าไม่แน่ใจน้ำหนักประตู ให้ดูวัสดุ + ขนาดบาน ถ้าบานใหญ่หรือเป็นไม้จริง หนักกว่าที่คิดเสมอ!
2) ประตูโดนลมแรงไหม? — ปัจจัยที่หลายบ้านลืมดู
ลมคือศัตรูตัวจริงของโช๊คค่ะ ถ้าโดนลมแรง ประตูจะถูกดันกลับจนโช๊คทำงานผิดจังหวะ
ถ้าประตูโดนลมแรง ควรใช้:
- โช๊คแขนคอ (Standard Arm)
- โช๊คฝังพื้น (Floor Spring)
ไม่เหมาะอย่างยิ่ง:
- แบบสไลด์ (Slide Arm) — แขนสั้น แรงดึงน้อย
- แบบซ่อน (Concealed) — สวยแต่ไม่สู้แรงลม
3) ต้องการความปลอดภัยระดับไหน?
ความปลอดภัยเกี่ยวกับ “ควบคุมแรงและมุมเปิด” ของโช๊คโดยตรงค่ะ
- อาคารสาธารณะ / สำนักงาน / โรงเรียน
→ ควรใช้โช๊คที่ ปรับแรงได้หลายระดับ และ ตั้งมุมเปิดค้างได้ เพื่อให้การจราจรคนเดินสะดวกและปลอดภัย - บ้านพักทั่วไป
→ แบบแขนคอมาตรฐานก็เพียงพอ ประหยัดและทน
4) เรื่องดีไซน์สำคัญแค่ไหน?
เลือกตามสไตล์ที่ต้องการได้เลยค่ะ
- เน้นสวย เรียบ เนียน ไม่อยากเห็นแขนโช๊ค
→ Slide Arm หรือ Concealed แบบซ่อน เหมาะที่สุด - เน้นงานหนัก ประตูใหญ่ บานกระจก หรือบานหนักมาก ๆ
→ Floor Spring หรือ Pivot System คือ 2 ตัวท็อปที่ถือว่าตอบโจทย์จริง ๆ
เลือก โช๊คประตู ให้ถูก ใช้งานดีไปหลายปี
โช๊คประตู เป็นของที่หลายคนมองข้าม เพราะมันตัวเล็กและแทบไม่ค่อยมีใครพูดถึง แต่จริง ๆ แล้ว “ส่งผลกับการใช้งานประตูทุกวัน” แบบที่เราไม่รู้ตัวเลยค่ะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง
- ความปลอดภัย เวลาเปิด–ปิดไม่กระแทก
- อายุการใช้งานของประตู ที่จะยืดออกทันทีถ้าแรงปิดเหมาะสม
- ความสวยงามของอาคาร โดยเฉพาะถ้าเลือกแบบซ่อนหรือแบบสไลด์
- ความสะดวกของผู้ใช้ เด็ก ผู้ใหญ่ ผู้สูงอายุ ใช้งานได้สบายขึ้น
เพียงแค่เลือกโช๊คให้ “ตรงประเภท” กับงานของเรา ไม่ว่าปิ่นจะใช้งานกับประตูบ้าน ประตูร้าน ประตูกระจกในห้าง หรือแม้แต่ประตูบานหนักระดับอาคารใหญ่—บอกเลยว่าผลลัพธ์ดีขึ้นทันทีแบบรู้สึกได้ค่ะ ช่างสาวรับประกันเลยว่าคุ้มกับการเลือกดี ๆ ตั้งแต่แรกแน่นอน

